อุลตร้าแมนเน็กซัส
อุลตร้าแมนเน็กซัส ภาพยนตร์ทีวีซีรีส์ที่จัดเป็นหนึ่งใน "ULTRA N PROJECT" ซึ่งเป็นโครงการที่ปฏิวัติความคิดเดิมๆของอุลตร้าแมนที่ผ่านมา โดยกำหนดเนื้อเรื่องให้เชื่อมโยงกับหนังโรง "ULTRAMAN" ซึ่งในทีวีซีรีส์จะเป็นโลกในอีกหลายปีต่อมาหลังจากนั้น นอกจากนี้ ดาร์คซากิ ศัตรูของ อุลตร้าแมนโนอาห์ ที่เคยลงในนิตยสารก็ออกมาปรากฎตัวพร้อมกับ อุลตร้าแมนโนอาห์ ในตอนสุดท้ายด้วย นี่จึงเป็นผลงานที่เชื่อมโยงโลกของอุลตร้าแมนที่ปรากฎในสื่อต่างๆมารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน อุลตร้าแมนเน็กซัส จะถูกออกแบบมาให้มีความสอดคล้องกับ อุลตร้าแมนโนอาห์ และ อุลตร้าแมน เดอะ เน็กซ์ ตรง เอเนอจี้คอร์ รูปตัว Y สีแดงที่อยู่ตรงอก ในซีรีส์ของ เน็กซัส นั้นจะมีมนุษย์ที่สามารถแปลงร่างเป็น อุลตร้าแมน หรือที่เรียกว่า ดูนามิสต์ อยู่หลายคนด้วยกัน ตามชื่อเรื่อง "เน็กซัส (สายสัมพันธ์)" ซึ่งมีความหมายว่าพลังของอุลตร้าแมนจะถูกสืบทอดไปยังรุ่นสู่รุ่น โดยคนที่จะแปลงร่างเป็นอุลตร้าแมนนั้นจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่สังกัดอยู่ในหน่วยพิทักษ์โลก และพระเอกกลับเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีพลังความสามารถพิเศษแต่อย่างใด ฉะนั้นซีรีส์นี้จึงเป็นซีรีส์ที่มีพล็อตเรื่องใหม่ๆกำเนิดขึ้นมากมาย
ด้วยเหตุนี้เราจะเห็นได้ว่าหน่วยพิทักษ์ในซีรีส์ชุดนี้จะสามารถกำจัดสัตว์ประหลาดได้มากกว่าหน่วยพิทักษ์ในซีรีส์เรื่องอื่นๆที่ผ่านมาโดยไม่ต้องพึ่งกำลังของอุลตร้าแมน ทั้งยังเป็นการนำพล็อตเรื่องที่เคยมีการคิดกันไว้ในช่วงแรกก่อนเริ่มถ่ายทำซีรีส์ไดน่าว่าจะให้ตัวละครที่ไม่ได้สังกัดหน่วยพิทักษ์เป็นผู้แปลงร่างเป็นอุลตร้าแมนแล้วคอยคลี่คลายคดีต่างๆที่เขาต้องประสบในระหว่างการเดินทางมาปัดฝุ่นใหม่ ทว่า,เนื่องด้วยปัญหาในการย้ายเวลาออกอากาศ ทางผู้จัดจึงจำเป็นต้องนำฉากเดิมๆที่เคยเซ็ทเอาไว้มาใช้ต่อ และให้สัตว์ประหลาดตัวนึงปรากฎตัวแสดงทีละ 2 ~ 4 ตอน เพื่อเป็นการลดงบประมาณให้น้อยที่สุดในบรรดาซีรีส์ที่ผ่านๆมา โดยไม่มีการนำสัตว์ประหลาดรุ่นเก่าๆในอดีตกลับมาใช้เลย แต่อีกนัยหนึ่งนั่นกลับเป็นการสื่อให้เห็นว่าอุลตร้าแมนต้องผ่านการต่อสู้อย่างยากลำบากมาโดยตลอด
สำหรับเรตติ้งในตอนแรกของซีรีส์นี้เคยอยู่ที่ 5% แต่หลังจากนั้นก็ตกลงอย่างฮวบฮาบจนเหลือเพียง 2 ~ 3% และมีบางตอนที่มีเรตติ้งตกลงไปอยู่ที่ 1% ด้วย อีกทั้งยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์อาซาฮีมาแล้วเกี่ยวกับฉากในบางตอน อาทิเช่น "ภาพวาดน่ากลัวๆที่ติดอยู่ในห้องของ ไซดะ ริโกะ อยู่เต็มไปหมด" หรือตอนที่ "พ่อแม่ของเด็กหญิงถูกสัตว์ประหลาดฆ่าตายซ้ำยังถูกควบคุมร่างเอาไว้" แต่หลังจากตอนที่ 26 เป็นต้นไปเนื้อหาก็เริ่มดูมีสีสันสดใสขึ้นมาบ้าง
แม้ว่าช่วงแรกในการออกอากาศจะเคยถูกทางผู้ใหญ่และสปอนเซอร์เสนอให้เปลี่ยนแนวทางการดำเนินเนื้อเรื่อง แต่ คุณชิบุยะ หัวหน้าโปรดิวเซอร์ก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอนั้นอย่างหัวชนฝา จนในที่สุดซีรีส์เรื่องนี้ก็สามารถดำเนินเรื่องไปจนจบตลอดรอดฝั่งได้โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางไปจากเดิม โดย คุณชิบุยะ ยังมีการกล่าวความคิดเห็นลงในนิตยสารด้วยว่า "การเปลี่ยนแนวทางการดำเนินเนื้อเรื่องเท่ากับเป็นการหักหลังคนดู" พร้อมทั้งยังกล่าวว่า "รู้สึกขอบคุณทีมงานและนักแสดงทุกๆท่านเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยผลิตผลงานเรื่องสั้นชิ้นนี้ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเช่นเดียวกับตอนแรกเริ่มเดิมที แม้ว่าจะมีการกำหนดให้ตัดบทจบลงกลางครันก็ตาม" โดยเดิมทีซีรีส์นี้ได้กำหนดให้มี 52 ตอนจบ ( กำหนดให้จบวันที่ 24 ก.ย. 2005 ) ซึ่งในปฏิทินอุลตร้าแมนเน็กซัสที่วางขายในปี 2005 เองก็มีการระบุเอาไว้ว่าวันที่ 24 ก.ย. เป็นตอนจบด้วยเช่นกัน
โดยหลังจากที่ออกอากาศจบแล้วก็มีเสียงเรียกร้องจากแฟนๆเข้ามาว่าอยากจะดูตอนที่ไม่ได้นำมาออกอากาศซึ่งถูกตัดไปกลางคัน ทางทีมงานจึงได้จัดทำตอนที่ 29 เวอร์ชั่นไดเรคเตอร์คัตโดยการเพิ่มฉากที่ถูกตัดออกไปมาประมวลรวมเอาไว้เป็นตอนเดียว ทั้งที่จริงๆแล้วตอนที่ 29 นี้ได้ถูกกำหนดให้มี 2 ตอนจบในช่วงแรก และ "Episode EX" ซึ่งเป็นเรื่องราวที่คั่นระหว่างตอนที่ 31 กับ 32 ที่ได้ถ่ายทำไปแล้วแต่ไม่ได้มีการนำมาฉายทางโทรทัศน์เพิ่มลงไปใน DVD นอกจากนี้ยังมีตอนที่ 32 ซึ่งเป็นตอนที่ มิโซโรงิ ปรากฎตัวเป็นครั้งสุดท้ายที่ คุณชุนโด มิตซึโทชิ ผู้รับบทเป็น มิโซโรงิ ชินยะ ต้องการจะให้ทำเป็นเวอร์ชั่นไดเรคเตอร์คัตออกมา เพราะว่าเขายอมแสดงต่อไปโดยรู้ทั้งรู้ว่าไม่สามารถออกอากาศได้ทั้งหมดเพราะจะต้องเกินเวลาออกอากาศแน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีการตัดต่อออกมา
ทว่า,เรื่องที่กล่าวมาทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่ได้ทำให้การประเมินค่าผลงานชิ้นนี้ด้อยลงไปเลย เพราะว่ายังคงมีแฟนๆที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้อย่างเหนียวแน่นอยู่ส่วนหนึ่งซึ่งให้กระแสการตอบรับเป็นอย่างดี จนทำให้ยอดขาย DVD ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้นว่าจะเป็นความโชคร้ายของซีรีส์นี้ที่ต้องใช้งบประมาณต่ำและถูกลดระยะเวลาออกอากาศ แต่เมื่อมองในมุมกลับแล้วการที่สามารถดำเนินเนื้อเรื่องได้อย่างรวดรับไม่ยืดเรื่องจนเกินไปและการสร้างผลงานที่ออกแนวซีเรียสหนักๆได้เช่นนี้ จึงทำให้แฟนๆประเมินค่าผลงานชิ้นนี้อยู่ในระดับสูง แต่ต้องถือเป็นความล้มเหลวทางการตลาดที่ผลงานชิ้นนี้ไม่โดนใจเด็กๆซึ่งเป็นกลุ่มผู้ชมหลักจึงทำให้สร้างยอดขายของเล่นได้เพียงแค่ 60% เมื่อเทียบกับอุลตร้าแมนคอสมอส ซีรีส์เรื่องนี้ได้แพร่ภาพไปเมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2004 ไปจนถึงวันที่ 25 มิ.ย. 2005 ทุกวันเสาร์เวลา 7:30 ~ 8.00 น. ทางสถานี TBS รวมทั้งสิ้น 37 ตอนด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้เราจะเห็นได้ว่าหน่วยพิทักษ์ในซีรีส์ชุดนี้จะสามารถกำจัดสัตว์ประหลาดได้มากกว่าหน่วยพิทักษ์ในซีรีส์เรื่องอื่นๆที่ผ่านมาโดยไม่ต้องพึ่งกำลังของอุลตร้าแมน ทั้งยังเป็นการนำพล็อตเรื่องที่เคยมีการคิดกันไว้ในช่วงแรกก่อนเริ่มถ่ายทำซีรีส์ไดน่าว่าจะให้ตัวละครที่ไม่ได้สังกัดหน่วยพิทักษ์เป็นผู้แปลงร่างเป็นอุลตร้าแมนแล้วคอยคลี่คลายคดีต่างๆที่เขาต้องประสบในระหว่างการเดินทางมาปัดฝุ่นใหม่ ทว่า,เนื่องด้วยปัญหาในการย้ายเวลาออกอากาศ ทางผู้จัดจึงจำเป็นต้องนำฉากเดิมๆที่เคยเซ็ทเอาไว้มาใช้ต่อ และให้สัตว์ประหลาดตัวนึงปรากฎตัวแสดงทีละ 2 ~ 4 ตอน เพื่อเป็นการลดงบประมาณให้น้อยที่สุดในบรรดาซีรีส์ที่ผ่านๆมา โดยไม่มีการนำสัตว์ประหลาดรุ่นเก่าๆในอดีตกลับมาใช้เลย แต่อีกนัยหนึ่งนั่นกลับเป็นการสื่อให้เห็นว่าอุลตร้าแมนต้องผ่านการต่อสู้อย่างยากลำบากมาโดยตลอด
สำหรับเรตติ้งในตอนแรกของซีรีส์นี้เคยอยู่ที่ 5% แต่หลังจากนั้นก็ตกลงอย่างฮวบฮาบจนเหลือเพียง 2 ~ 3% และมีบางตอนที่มีเรตติ้งตกลงไปอยู่ที่ 1% ด้วย อีกทั้งยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์อาซาฮีมาแล้วเกี่ยวกับฉากในบางตอน อาทิเช่น "ภาพวาดน่ากลัวๆที่ติดอยู่ในห้องของ ไซดะ ริโกะ อยู่เต็มไปหมด" หรือตอนที่ "พ่อแม่ของเด็กหญิงถูกสัตว์ประหลาดฆ่าตายซ้ำยังถูกควบคุมร่างเอาไว้" แต่หลังจากตอนที่ 26 เป็นต้นไปเนื้อหาก็เริ่มดูมีสีสันสดใสขึ้นมาบ้าง
แม้ว่าช่วงแรกในการออกอากาศจะเคยถูกทางผู้ใหญ่และสปอนเซอร์เสนอให้เปลี่ยนแนวทางการดำเนินเนื้อเรื่อง แต่ คุณชิบุยะ หัวหน้าโปรดิวเซอร์ก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอนั้นอย่างหัวชนฝา จนในที่สุดซีรีส์เรื่องนี้ก็สามารถดำเนินเรื่องไปจนจบตลอดรอดฝั่งได้โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางไปจากเดิม โดย คุณชิบุยะ ยังมีการกล่าวความคิดเห็นลงในนิตยสารด้วยว่า "การเปลี่ยนแนวทางการดำเนินเนื้อเรื่องเท่ากับเป็นการหักหลังคนดู" พร้อมทั้งยังกล่าวว่า "รู้สึกขอบคุณทีมงานและนักแสดงทุกๆท่านเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยผลิตผลงานเรื่องสั้นชิ้นนี้ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเช่นเดียวกับตอนแรกเริ่มเดิมที แม้ว่าจะมีการกำหนดให้ตัดบทจบลงกลางครันก็ตาม" โดยเดิมทีซีรีส์นี้ได้กำหนดให้มี 52 ตอนจบ ( กำหนดให้จบวันที่ 24 ก.ย. 2005 ) ซึ่งในปฏิทินอุลตร้าแมนเน็กซัสที่วางขายในปี 2005 เองก็มีการระบุเอาไว้ว่าวันที่ 24 ก.ย. เป็นตอนจบด้วยเช่นกัน
โดยหลังจากที่ออกอากาศจบแล้วก็มีเสียงเรียกร้องจากแฟนๆเข้ามาว่าอยากจะดูตอนที่ไม่ได้นำมาออกอากาศซึ่งถูกตัดไปกลางคัน ทางทีมงานจึงได้จัดทำตอนที่ 29 เวอร์ชั่นไดเรคเตอร์คัตโดยการเพิ่มฉากที่ถูกตัดออกไปมาประมวลรวมเอาไว้เป็นตอนเดียว ทั้งที่จริงๆแล้วตอนที่ 29 นี้ได้ถูกกำหนดให้มี 2 ตอนจบในช่วงแรก และ "Episode EX" ซึ่งเป็นเรื่องราวที่คั่นระหว่างตอนที่ 31 กับ 32 ที่ได้ถ่ายทำไปแล้วแต่ไม่ได้มีการนำมาฉายทางโทรทัศน์เพิ่มลงไปใน DVD นอกจากนี้ยังมีตอนที่ 32 ซึ่งเป็นตอนที่ มิโซโรงิ ปรากฎตัวเป็นครั้งสุดท้ายที่ คุณชุนโด มิตซึโทชิ ผู้รับบทเป็น มิโซโรงิ ชินยะ ต้องการจะให้ทำเป็นเวอร์ชั่นไดเรคเตอร์คัตออกมา เพราะว่าเขายอมแสดงต่อไปโดยรู้ทั้งรู้ว่าไม่สามารถออกอากาศได้ทั้งหมดเพราะจะต้องเกินเวลาออกอากาศแน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีการตัดต่อออกมา
ทว่า,เรื่องที่กล่าวมาทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่ได้ทำให้การประเมินค่าผลงานชิ้นนี้ด้อยลงไปเลย เพราะว่ายังคงมีแฟนๆที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้อย่างเหนียวแน่นอยู่ส่วนหนึ่งซึ่งให้กระแสการตอบรับเป็นอย่างดี จนทำให้ยอดขาย DVD ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้นว่าจะเป็นความโชคร้ายของซีรีส์นี้ที่ต้องใช้งบประมาณต่ำและถูกลดระยะเวลาออกอากาศ แต่เมื่อมองในมุมกลับแล้วการที่สามารถดำเนินเนื้อเรื่องได้อย่างรวดรับไม่ยืดเรื่องจนเกินไปและการสร้างผลงานที่ออกแนวซีเรียสหนักๆได้เช่นนี้ จึงทำให้แฟนๆประเมินค่าผลงานชิ้นนี้อยู่ในระดับสูง แต่ต้องถือเป็นความล้มเหลวทางการตลาดที่ผลงานชิ้นนี้ไม่โดนใจเด็กๆซึ่งเป็นกลุ่มผู้ชมหลักจึงทำให้สร้างยอดขายของเล่นได้เพียงแค่ 60% เมื่อเทียบกับอุลตร้าแมนคอสมอส ซีรีส์เรื่องนี้ได้แพร่ภาพไปเมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2004 ไปจนถึงวันที่ 25 มิ.ย. 2005 ทุกวันเสาร์เวลา 7:30 ~ 8.00 น. ทางสถานี TBS รวมทั้งสิ้น 37 ตอนด้วยกัน
ULTRAMAN NEXUS ANPHANS
ความสูง : 49 เมตร ( สามารถย่อร่างให้มีขนาดเท่ามนุษย์หรือในระดับไมโครได้ )
น้ำหนัก : 4 หมื่นตัน
อายุ : มากกว่า 3 แสน 5 หมื่นปี
สถานที่กำเนิด : ไม่ปรากฎแน่ชัด
ความเร็วในการบิน : 3 มัค
ลักษณะพิเศษ : ร่างพื้นฐานของ อุลตร้าแมนเน็กซัส ซึ่ง ดูนามิสต์ ทุกคนจะต้องแปลงเป็นร่างนี้
ก่อนในตอนต้น
"อาร์มด์เน็กซัส" ที่ติดอยู่ที่แขนทั้งสองข้างนั้น
สามารถใช้เป็น เอลโบว์คัตเตอร์ ในการฟันศัตรู
หรือใช้ป้องกันการโจมตีของศัตรูได้ นี่จึงถือเป็นอาวุธที่ใช้ได้ทั้งในการรุกและรับ
และยังถือเป็นแหล่งพลังงานในเวลาที่ เน็กซัส จะยิงท่าไม้ตายต่างๆ
อย่าง พาร์ทิเคิ่ลเฟเธอร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนร่างเป็น จูเนส อีกด้วย
เมื่อ "เอเนอจี้คอร์" ที่อยู่ตรงอกเริ่มสูญเสียพลังงาน
มันก็จะกระพริบเตือนขีดจำกัดเวลาในการต่อสู้
อุปกรณ์แปลงร่าง
อีโวลทรัสเตอร์ : อุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงร่างเป็น อุลตร้าแมนเน็กซัส
ซึ่งจะถูกสืบทอดไปยัง ดูนามิสต์ จากรุ่นสู่รุ่น
เมื่อ ดูนามิสต์ ชักอุปกรณ์นี้ออกมาจากปลอกแล้วก็จะมีแสงปรากฎออกมา
โอบล้อมตัวเขาเอาไว้จนทำให้เขากลายร่างเป็น อุลตร้าแมนเน็กซัส ได้ในที่สุด
นอกเหนือไปจาก ดูนามิสต์ แล้วใครก็ไม่สามารถที่จะชักอุปกรณ์ชิ้นนี้ออกจากปลอกได้
นอกจากนี้อุปกรณ์ชิ้นนี้ยังสามารถช่วยค้นหาบีสต์ และกางบาเรียคุ้มกันดูนามิสต์ได้อีกด้วย
โดยในตอนที่ 17 ฮิเมยะได้ใช้มันในการป้องกันการโจมตีของ มิโซโรงิ เอาไว้ได้
ท่าไม้ตาย และ ความสามารถพิเศษ
ครอสเรย์ สตรอม : ลำแสงที่ปล่อยออกมาโดยการไขว้แขนกันเป็นรูปไม้กางเขน
ท่านี้เป็นท่าที่ใช้ในการทำลายปีกของ บั๊กบาซึ่น ในตอนที่ 5 และเป็นท่าที่ จูเนส ใช้กำจัด
นอสเฟล ( หนที่ 1 ) ในตอนที่ 12 ทั้งยังสร้างความเสียหายให้กับ ดาร์คเฟาสท์ ได้
ในตอนที่ 8 กับ 11 อีกด้วย แต่ในตอนที่ 10 ท่านี้เคยถูกป้องกันได้ด้วยดาร์คชิลด์
และถูก ดาร์คเมฟิสท์ ใช้มือปัดออกไปได้ในตอนที่ 17
นอกจากนี้ จูเนสบลู ยังเคยใช้ท่านี้กับ แกรนเทล่า จนทำให้มันบาดเจ็บปางตายมาแล้ว
แต่มันก็ฟื้นคืนพลังขึ้นมาได้อีกครั้งด้วยฝีมือของ UNKNOWN HAND
พาร์ทิเคิ่ลเฟเธอร์ : ท่าที่ เน็กซัส จะตวัดแขนสร้างดาบแสงออกมาฟาดฟันศัตรู
ทว่า,อานุภาพของมันจะไม่รุนแรงมากนัก
ท่านี้จึงมักจะถูกใช้เพื่อสกัดกั้นศัตรูเสียเป็นส่วนใหญ่
ท่านี้สามารถปล่อยออกมาพร้อมกันจากสองแขนได้
เน็กซัสได้ใช้ท่านี้ในการตัดปากของกอลโกเล็ม
แต่ไม่สามารถตัดหนวดของ คุโทล่า ให้ขาดได้
เซฟวิ่งบิวท์ : เส้นแสงที่ใช้รัดศัตรูและเอาไว้ช่วยเหลือชีวิตของผู้คน
ในตอนที่ 2 เน็กซัสได้ใช้ท่านี้ในการช่วยเหลือชีวิตคน
ทั้งยังใช้หยุด กอลโกเล็ม ที่กำลังจะหนีเอาไว้ในตอนที่ 21 ด้วยร่างของจูเนส
และในตอนที่ 29 เวอร์ชั่นไดเร็คเตอร์คัต เน็กซัส ก็ได้ใช้ลำแสงพลังจิต
ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นท่า เซฟวิ่งบิวท์ ในอีกรูปแบบหนึ่งในการช่วยให้โคมง
รอดพ้นจากการโจมตีของ บัมพิล่าร์ และพาเขาไปยังที่ปลอดภัยได้
นอกจากนั้นท่านี้ยังได้ถูกใช้ในตอนที่ 33 แต่กลับถูกพลังคลื่นสีรุ้งของเมก้าแฟลช
สะท้อนออกไปเสียก่อน
ออร่ามิราจ : ท่าที่ เน็กซัส จะเปล่งแสงออกมาจากทั่วร่างเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้
โดยในตอนที่ 4 เน็กซัส ได้ใช้ท่านี้ในการหยุด เพโดเลี่ยน ที่บินอยู่ให้ร่วงลงมากระแทกพื้น
และในตอนที่ 11 หลังจากถูก ดาร์คเฟาสท์ โจมตี
เน็กซัส ก็ได้ใช้ท่านี้ในร่างจูเนสพร้อมกับปล่อยลำแสงครอสเรย์สตรอมไปด้วยพร้อมกัน
แต่กลับไม่เป็นผล
คอร์ไฟนอล : เอเนอจี้คอร์จะเปล่งแสงออกมาเพื่อปลดปล่อยพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างของอังฟองซ์
ในตอนที่ 24 เน็กซัสได้ใช้แสงที่ปล่อยออกมาจาก เอเนอจี้คอร์ นี้สะท้อนเถาวัลย์แห่งความมืด
ที่พยายามจะเลื้อยเข้ามารัดเขา และใช้ในการเผาเส้นใยของ บัมพิล่าร์ ให้ขาดในตอนที่ 29
เวอร์ชั่นไดเรคเตอร์คัต
ทั้งยังใช้ในการปัดเป่าความมืดที่สะสมอยู่ภายในทะเลแห่งการลืมเลือนเลอเต้
ในตอนสุดท้ายด้วย
นอกจากนั้นท่านี้ยังเป็นท่าที่ทำให้ก่อเกิดปาฎิหาริย์ที่ช่วยให้ โคมง สามารถแปลงเป็น
จูเนส ของ ฮิเมยะ กับ จูเนสบลู ของ เร็น ซึ่งเดิมทีเขาไม่น่าจะแปลงเป็นร่างนั้นได้
ก่อนที่จะกลายเป็น อุลตร้าแมนโนอาห์ ร่างสุดยอดขั้นสุดท้าย
ในศึกปะทะกับ ดาร์คซากิ ในตอนสุดท้าย
ความสามารถของ อังฟองซ์ นี้สามารถใช้ได้ทั้งในร่างของ จูเนส และ จูเนสบลู
แถมยังมีอานุภาพเพิ่มขึ้นเมื่อกางเมต้าฟิลด์อีกด้วย
ULTRAMAN NEXUS JUNIS
ความสูง : 49 เมตร ( สามารถย่อร่างให้มีขนาดเท่ามนุษย์หรือในระดับไมโครได้ )
น้ำหนัก : 4 หมื่น 4 พันตัน
อายุ : มากกว่า 3 แสน 5 หมื่นปี
สถานที่กำเนิด : ไม่ปรากฎแน่ชัด
ความเร็วในการบิน : 3.8 มัค
ลักษณะพิเศษ : ร่างที่เน็กซัสจะปลดปล่อยพลังให้มากกว่า อังฟองซ์ ขึ้นไปอีกขั้น
เมื่อกาง "เมต้าฟิลด์" มิติเวลาแบบไม่ต่อเนื่องที่เอาไว้ใช้ในการต่อสู้แล้ว
เขาจะสามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่
และจะไม่ทำให้โลกภายนอกได้รับความเสียหาย
ตรงบริเวณหน้าอกที่ดูคล้ายชุดเกราะชีวะนั้นจะมี "คอร์เกจ"
ที่เปรียบเสมือน "คัลเลอร์ไทม์เมอร์" ของอุลตร้าแมนรุ่นก่อนๆปรากฎขึ้นมา
ซึ่งจะเป็นตัวบ่งบอกขีดจำกัดเวลาที่ เน็กซัส จะอยู่ภายในเมต้าฟิลด์ได้ 3 นาที
ร่างจูเนสที่ ฮิเมยะ จุน แปลงร่างนั้นจะเป็นร่างแห่งอัศวินสีแดง
ซึ่งมีสไตล์การต่อสู้ที่ดูทรงพลังและหนักแน่น
ซึ่งในตอนสุดท้าย โคมง เองก็สามารถแปลงเป็นร่างนี้ได้ด้วยเช่นกัน
ท่าไม้ตาย และ ความสามารถพิเศษ
เฟสชิฟท์เวฟ : ลำแสงที่ใช้ในการกางเมต้าฟิลด์
ผนังชั้นนอกของเมต้าฟิลด์นั้นจะมีส่วนประกอบโครงสร้างเช่นเดียวกับร่างกายของอุลตร้าแมน
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือมันเป็นสิ่งที่ทำด้วยร่างของอุลตร้าแมนนั่นเอง
ซึ่งถ้าหากร่างกายของ ดูนามิสต์ มีอาการบาดเจ็บสะสมมากจนเกินไป
เน็กซัส ก็จะไม่สามารถใช้ท่านี้ได้
โดยในตอนพิเศษ เร็น ได้แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถกางเมต้าฟิลด์ออกมา
พร้อมๆกับตอนแปลงร่างได้ด้วย
แม้จะดูเหมือนว่า เน็กซัส เป็นฝ่ายได้เปรียบเพราะต่อสู้อยู่ในสนามพลังของตัวเอง
แต่ก็มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่เขากลับตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เพราะถูก ดาร์คฟิลด์ กลืนกินสนามพลังไปแทน โดยจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ตอนที่ 32
ที่ เน็กซัส ต้องหลบลำแสงที่ยิงมาก่อนที่เขาจะกางเมต้าฟิลด์
กับตอนที่ 34 ที่โดน เมก้าแฟลช ชิงกางสนามพลังไปยังมิติอื่นเสียก่อน
จนทำให้ เน็กซัส ไม่สามารถกางสนามพลังต้านคืนได้
และในตอนที่ 35 ที่ถูก กัลเบรอส โจมตีจากด้านหลังก่อนที่จะกางเมต้าฟิลด์ได้สำเร็จ
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เน็กซัส ก็ไม่เคยกางเมต้าฟิลด์ได้สำเร็จเลยสักครั้ง
โอเว่อร์เรย์ สตรอม : ท่าไม้ตายอันทรงพลังที่สุดของ จูเนส ที่จะยิงพลังงานแสงอันรุนแรงออกมา
โดยการประสาน อาร์มด์เน็กซัส ทั้งสองแขนให้เป็นรูปตัว L เพื่อทำลายล้างศัตรู
ในระดับโมเลกุล
ท่านี้เป็นท่าที่มีพลังทำลายเหนือกว่า ครอสเรย์ สตรอม
จึงต้องสูญเสียพลังงานไปเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นท่านี้จึงสามารถยิงออกมาได้เพียงแค่ครั้งเดียวต่อการแปลงร่าง 1 ครั้งเท่านั้น
นอกจาก เพโดเลี่ยน , นอสเฟล ( หนที่ 3 ) , กัลเบรอส ( หนที่ 2 ) แล้ว
ท่านี้ยังสามารถพิชิต กอลโกเล็ม ที่แม้แต่ สไตร์คแวนิชเชอร์
ก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ผลด้วย
ทั้งยังเป็นท่าที่สามารถไล่ต้อน ดาร์คซากิ ได้ในตอนสุดท้าย
แต่ ดาร์คซากิ ก็ต้านทานเอาไว้ได้
คอร์อิมพัลส์ : ลำแสงที่จะปลดปล่อยพลังงานอันรุนแรงออกมาจากเอเนอจี้คอร์
เพื่อระเบิดศัตรูให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ
ท่านี้นอกจากจะใช้ในการกำจัด กัลเบรอส ในตอนที่ 6 แล้ว ยังเป็นท่าที่ทำให้ ดาร์คเมฟิสท์
ได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องถอนตัวจากการต่อสู้ไปชั่วคราวในตอนที่ 16
เน็กซัสเฮอร์ริเคน : เน็กซัสจะสร้างพายุหมุนขนาดยักษ์เพื่อฝัง เพโดเลี่ยน ให้จมดิน
เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของมันในตอนที่ 4
บอร์ดเรย์ เฟเธอร์ : ท่าปล่อยดาบแสงรูปจันทร์เสี้ยวออกมาจากมือทั้งสองข้าง
ในขณะที่กำลังบินด้วยความเร็วสูง
ในตอนที่ 15 เน็กซัสได้ยิงดาบแสงนี้ออกมาอย่างต่อเนื่องถึง 12 นัด ในขณะหมุนตัว
อยู่กลางอากาศ แต่ ดาร์คเมฟิสท์ กลับหลบได้หมด
สปิลเรย์ เจเนอเรด : เน็กซัสจะใช้ อาร์มด์เน็กซัส สกัดกั้นการโจมตีของศัตรู
เพื่อเปลี่ยนการโจมตีนั้นให้กลายเป็นพลังงานแสงแล้วจึงค่อยยิงสวนกลับไป
ท่านี้จะถูกใช้ในตอนที่ต่อสู้กับ ดาร์คเมฟิสท์ เป็นครั้งสุดท้าย
โดยเน็กซัสจะรับ ไฮเปอร์เมฟิสท์ช็อต ทั้ง 7 นัด
แล้วแปลงพลังงานยิงกลับออกไปในนัดเดียว
จนสร้างความบอบช้ำให้กับ ดาร์คเมฟิสท์ ได้ไม่น้อย
เซอร์เคิ่ลชิลด์ : บาเรียทรงกลมสีน้ำเงินที่ เน็กซัส ในร่างจูเนสใช้ในตอนที่ 7 และ 24
เพื่อป้องกันท่า ดาร์คเฟเธอร์ และ ดาร์คเรย์ครัสเตอร์
ในตอนที่ 35 เน็กซัสได้ใช้ท่านี้ในการป้องกันการโจมตีด้วยไฟฟ้าของเมก้าแฟลช
ไปพร้อมกับเปลี่ยนร่างเป็น จูเนสบลู ด้วย
และในตอนสุดท้ายท่านี้ก็ถูกนำมาใช้ในการป้องกันท่า กราวิตี้ซากิ อีกครั้ง
ULTRAMAN NEXUS JUNIS BLUE
ความสูง : 49 เมตร ( สามารถย่อร่างให้มีขนาดเท่ามนุษย์หรือในระดับไมโครได้ )
น้ำหนัก : 4 หมื่น 2 พันตัน
อายุ : มากกว่า 3 แสน 5 หมื่นปี
สถานที่กำเนิด : ไม่ปรากฎแน่ชัด
ความเร็วในการบิน : 5 มัค
ลักษณะพิเศษ : จูเนสบลู ที่ เซ็นจุ เร็น เป็นผู้แปลงร่างนั้นจะเป็นอัศวินร่างสีน้ำเงินซึ่งมีสีสันและลวดลาย
ที่สื่อถึงความเป็นวัยรุ่น โดยมีลักษณะเด่นอยู่ตรงวิธีการต่อสู้แบบเอาตัวเข้าแลก
ด้วยการเคลื่อนไหวที่แคล่วคล่องว่องไว โดยไม่คำนึงถึงเรื่องของการปกป้องตัวเอง
อาร์มด์เน็กซัสที่ติดอยู่ตรงมือขวาของเขาสามารถแปรสภาพเป็น แอโร่ว์อาร์มด์เน็กซัส
ซึ่งจะมีอยู่ 4 โหมด คือ นอร์มอลโหมด , ซอร์ดโหมด , แอโร่ว์โหมด และ ไฟนอลโหมด ได้
โดยในตอนสุดท้าย โคมง ก็ได้แปลงเป็นร่างนี้ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ร่างนี้ยังสามารถใช้ท่าพาร์ทิเคิ่ลเฟเธอร์ , ครอสเรย์สตรอม , เซอร์เคิลชิลด์ ฯลฯ
ซึ่งเป็นท่าของ อังฟองซ์ ได้ด้วย ( แถมยังมีอานุภาพมากกว่า
โดยแรกเริ่มเดิมทีได้มีการกำหนดว่าจะให้ จูเนสบลู สามารถใช้ท่าในร่างของ จูเนส
อย่าง โอเว่อร์เรย์ สตรอม หรือ คอร์อิมพัลส์ ได้ด้วย
แต่จะมีอานุภาพน้อยกว่าตอนที่ จูเนส เป็นผู้ใช้
ทว่า,สุดท้าย จูเนสบลู ก็ใช้ท่าในร่าง จูเนส ของฮิเมยะในเรื่องจริงๆเพียงแค่
ท่า บอร์ดเรย์ เฟเธอร์ กับ เฟสชิฟท์เวฟ เท่านั้น
โดยเขาได้ใช้ท่า บอร์ดเรย์ เฟเธอร์ นี้ยิงใส่ บั๊กบาซึ่นบลูด 4 นัดติดต่อกัน
จนทำให้มันได้รับบาดเจ็บในตอนพิเศษ
ท่าไม้ตาย และ ความสามารถพิเศษ
แอโร่ว์เรย์ สตรอม : ท่าไม้ตายที่ เน็กซัส จะรวบรวมพลังงานแสงจาก เอเนอจี้คอร์
มาไว้ที่ แอโร่ว์อาร์มด์เน็กซัส เพื่อให้มันเปลี่ยนเป็น แอโร่ว์โหมด
จากนั้น เน็กซัส จะง้างคันธนูแสงแล้วปล่อยศรแสงพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง
ท่านี้ถือเป็นท่าที่มีขอบเขตในการยิงโดนเป้าหมายเป็นวงกว้าง
และมีประสิทธิภาพในการทะลุทะลวงสูง และเป็นท่าที่ใช้ในการกำจัด แกรนเทล่า ,
บัมพิล่าร์ , ริซาเรียส โกรวเลอร์ และ ดาร์คเมฟิสท์ สเวย์ มาแล้ว
โอเว่อร์แอโร่ว์เรย์ สตรอม : ท่าไม้ตายอันทรงพลังที่สุดของ จูเนสบลู ซึ่งเป็นการแปรสภาพ ธนูแสง
( แอโร่ว์เรย์ สตรอม ) กับ ดาบแสง ( สตรอมซอร์ด ) ที่สร้างขึ้นมาจาก
แอโร่ว์อาร์มด์เน็กซัส ให้เป็นไฟนอลโหมด เพื่อสร้างศรแสงขนาดใหญ่
จุดอ่อนของท่านี้คือ เน็กซัส จะต้องสูญเสียพลังงานกับท่านี้ไปจนเกือบหมด
ดังนั้นจึงสามารถใช้ได้เฉพาะในยามสุดท้ายเท่านั้น ในตอนที่ 36 เน็กซัสจูเนสบลู
ได้ยิงท่านี้ออกไปกลางอากาศเพื่อกำจัด อิซมาเอล บีสต์ที่แข็งแกร่งที่สุด
จนรอดพ้นจากวิกฤติได้สำเร็จ
แต่ทว่า,ในตอนสุดท้าย ดาร์คซากิ สามารถใช้มือปัดท่านี้ออกไปได้
สตรอมซอร์ด : ท่าไม้ตายที่ใช้ฟันศัตรูให้ขาดเป็นสองส่วน
โดยการสร้างดาบแสงออกมาจาก แอโร่ว์อาร์มด์เน็กซัส เพื่อแปรสภาพให้เป็น ซอร์ดโหมด
เน็กซัสได้ใช้ท่านี้ในการกำจัด ริซาเรียส และ กัลเบรอส ( หนที่ 3 )
ทั้งยังใช้ในการฟันกระสุนแสงที่ แกรนเทล่า ปล่อยออกมาอีกด้วย
เจเนอเรดนัคเคิ่ล : ท่าชกที่แฝงพลังงานรวบรวมไว้ในหมัดซึ่งมีอานุภาพรุนแรงกว่า
ท่าชกธรรมดาอย่างจูเนสพันช์
ในตอนที่ 27 หลังจากที่ปล่อยท่า พาร์ทิเคิ่ลเฟเธอร์ กลางอากาศแล้ว
เน็กซัสก็ใช้ท่านี้ชกตามซ้ำจนทำให้ แกรนเทล่า บอบช้ำได้
และท่านี้ยังเป็นท่าที่สร้างความเสียหายให้กับ บั๊กบาซึ่น บลูด ได้เป็นอย่างมาก
จนทำให้มันไม่สามารถคงร่างยักษ์เอาไว้ได้
และยังใช้กับ บั๊กบาซึ่น โกรว์เลอร์ ในตอนพิเศษด้วย
นัคเรย์เจเนอเรด : ท่าที่มีไว้ชำระล้างการโจมตีของคู่ต่อสู้ แล้วใช้หมัดยิงพลังสวนกลับไป
ในตอนพิเศษ เน็กซัส ได้รวบรวมพลังงานของดาร์คฟิลด์ G ที่พวยพุ่งออกมาจากพื้นดิน
เพื่อแปลงเป็นพลังงานแสง แล้วยิงออกไปกำจัด บั๊กบาซึ่น โกรว์เลอร์
ที่แม้แต่ สไตร์คแวนิชเชอร์ ก็ทำอะไรมันไม่ได้
ทั้งยังนำพลังงานไฟฟ้าส่วนหนึ่งที่ เมก้าแฟลช โจมตีเข้ามา มาเปลี่ยนเป็นพลังงานของตน
แล้วยิงสวนกลับไปจนสร้างความเสียหายให้กับมันได้ในตอนที่ 35
ULTRAMAN NOA
ความสูง : 50 เมตร ( ความสูงทั้งหมดเมื่อรวม โนอาห์อีจิส คือ 55 เมตร )
น้ำหนัก : 5 หมื่น 5 พันตัน
สถานที่กำเนิด : ไม่ปรากฎแน่ชัด
ความเร็วในการบิน : 5 มัค
ลักษณะพิเศษ : จูเนสบลู ที่ เซ็นจุ เร็น เป็นผู้แปลงร่างนั้นจะเป็นอัศวินร่างสีน้ำเงินซึ่งมีสีสันและลวดลาย
ที่สื่อถึงความเป็นวัยรุ่น โดยมีลักษณะเด่นอยู่ตรงวิธีการต่อสู้แบบเอาตัวเข้าแลก
ด้วยการเคลื่อนไหวที่แคล่วคล่องว่องไว โดยไม่คำนึงถึงเรื่องของการปกป้องตัวเอง
อาร์มด์เน็กซัสที่ติดอยู่ตรงมือขวาของเขาสามารถแปรสภาพเป็น แอโร่ว์อาร์มด์เน็กซัส
ซึ่งจะมีอยู่ 4 โหมด คือ นอร์มอลโหมด , ซอร์ดโหมด , แอโร่ว์โหมด และ ไฟนอลโหมด ได้
โดยในตอนสุดท้าย โคมง ก็ได้แปลงเป็นร่างนี้ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ร่างนี้ยังสามารถใช้ท่าพาร์ทิเคิ่ลเฟเธอร์ , ครอสเรย์สตรอม , เซอร์เคิลชิลด์ ฯลฯ
ซึ่งเป็นท่าของ อังฟองซ์ ได้ด้วย ( แถมยังมีอานุภาพมากกว่า
โดยแรกเริ่มเดิมทีได้มีการกำหนดว่าจะให้ จูเนสบลู สามารถใช้ท่าในร่างของ จูเนส
อย่าง โอเว่อร์เรย์ สตรอม หรือ คอร์อิมพัลส์ ได้ด้วย
แต่จะมีอานุภาพน้อยกว่าตอนที่ จูเนส เป็นผู้ใช้
ทว่า,สุดท้าย จูเนสบลู ก็ใช้ท่าในร่าง จูเนส ของฮิเมยะในเรื่องจริงๆเพียงแค่
ท่า บอร์ดเรย์ เฟเธอร์ กับ เฟสชิฟท์เวฟ เท่านั้น
โดยเขาได้ใช้ท่า บอร์ดเรย์ เฟเธอร์ นี้ยิงใส่ บั๊กบาซึ่นบลูด 4 นัดติดต่อกัน
จนทำให้มันได้รับบาดเจ็บในตอนพิเศษ
ท่าไม้ตาย และ ความสามารถพิเศษ
แอโร่ว์เรย์ สตรอม : ท่าไม้ตายที่ เน็กซัส จะรวบรวมพลังงานแสงจาก เอเนอจี้คอร์
มาไว้ที่ แอโร่ว์อาร์มด์เน็กซัส เพื่อให้มันเปลี่ยนเป็น แอโร่ว์โหมด
จากนั้น เน็กซัส จะง้างคันธนูแสงแล้วปล่อยศรแสงพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง
ท่านี้ถือเป็นท่าที่มีขอบเขตในการยิงโดนเป้าหมายเป็นวงกว้าง
และมีประสิทธิภาพในการทะลุทะลวงสูง และเป็นท่าที่ใช้ในการกำจัด แกรนเทล่า ,
บัมพิล่าร์ , ริซาเรียส โกรวเลอร์ และ ดาร์คเมฟิสท์ สเวย์ มาแล้ว
โอเว่อร์แอโร่ว์เรย์ สตรอม : ท่าไม้ตายอันทรงพลังที่สุดของ จูเนสบลู ซึ่งเป็นการแปรสภาพ ธนูแสง
( แอโร่ว์เรย์ สตรอม ) กับ ดาบแสง ( สตรอมซอร์ด ) ที่สร้างขึ้นมาจาก
แอโร่ว์อาร์มด์เน็กซัส ให้เป็นไฟนอลโหมด เพื่อสร้างศรแสงขนาดใหญ่
จุดอ่อนของท่านี้คือ เน็กซัส จะต้องสูญเสียพลังงานกับท่านี้ไปจนเกือบหมด
ดังนั้นจึงสามารถใช้ได้เฉพาะในยามสุดท้ายเท่านั้น ในตอนที่ 36 เน็กซัสจูเนสบลู
ได้ยิงท่านี้ออกไปกลางอากาศเพื่อกำจัด อิซมาเอล บีสต์ที่แข็งแกร่งที่สุด
จนรอดพ้นจากวิกฤติได้สำเร็จ
แต่ทว่า,ในตอนสุดท้าย ดาร์คซากิ สามารถใช้มือปัดท่านี้ออกไปได้
สตรอมซอร์ด : ท่าไม้ตายที่ใช้ฟันศัตรูให้ขาดเป็นสองส่วน
โดยการสร้างดาบแสงออกมาจาก แอโร่ว์อาร์มด์เน็กซัส เพื่อแปรสภาพให้เป็น ซอร์ดโหมด
เน็กซัสได้ใช้ท่านี้ในการกำจัด ริซาเรียส และ กัลเบรอส ( หนที่ 3 )
ทั้งยังใช้ในการฟันกระสุนแสงที่ แกรนเทล่า ปล่อยออกมาอีกด้วย
เจเนอเรดนัคเคิ่ล : ท่าชกที่แฝงพลังงานรวบรวมไว้ในหมัดซึ่งมีอานุภาพรุนแรงกว่า
ท่าชกธรรมดาอย่างจูเนสพันช์
ในตอนที่ 27 หลังจากที่ปล่อยท่า พาร์ทิเคิ่ลเฟเธอร์ กลางอากาศแล้ว
เน็กซัสก็ใช้ท่านี้ชกตามซ้ำจนทำให้ แกรนเทล่า บอบช้ำได้
และท่านี้ยังเป็นท่าที่สร้างความเสียหายให้กับ บั๊กบาซึ่น บลูด ได้เป็นอย่างมาก
จนทำให้มันไม่สามารถคงร่างยักษ์เอาไว้ได้
และยังใช้กับ บั๊กบาซึ่น โกรว์เลอร์ ในตอนพิเศษด้วย
นัคเรย์เจเนอเรด : ท่าที่มีไว้ชำระล้างการโจมตีของคู่ต่อสู้ แล้วใช้หมัดยิงพลังสวนกลับไป
ในตอนพิเศษ เน็กซัส ได้รวบรวมพลังงานของดาร์คฟิลด์ G ที่พวยพุ่งออกมาจากพื้นดิน
เพื่อแปลงเป็นพลังงานแสง แล้วยิงออกไปกำจัด บั๊กบาซึ่น โกรว์เลอร์
ที่แม้แต่ สไตร์คแวนิชเชอร์ ก็ทำอะไรมันไม่ได้
ทั้งยังนำพลังงานไฟฟ้าส่วนหนึ่งที่ เมก้าแฟลช โจมตีเข้ามา มาเปลี่ยนเป็นพลังงานของตน
แล้วยิงสวนกลับไปจนสร้างความเสียหายให้กับมันได้ในตอนที่ 35
ULTRAMAN NOA
ความสูง : 50 เมตร ( ความสูงทั้งหมดเมื่อรวม โนอาห์อีจิส คือ 55 เมตร )
น้ำหนัก : 5 หมื่น 5 พันตัน
อายุ : มากกว่า 3 แสน 5 หมื่นปี
สถานที่กำเนิด : ไม่ปรากฎแน่ชัด
ลักษณะพิเศษ : อุลตร้าแมนในตำนานผู้ปกป้องสันติสุขของอวกาศทั้งปวงมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล
เขาคือร่างดั้งเดิมของ มนุษย์ยักษ์แห่งแสง หรือ อุลตร้าแมน ซึ่งถือกำเนิดจากการรวมกัน
ระหว่าง แสงปริศนาที่ถูกสืบทอดข้ามผ่านเวลาอันยาวนาน กับ ดูนามิสต์
ทั้งยังเป็นร่างขั้นสุดยอดสุดท้าย ( Ultimate Final Style ) อีกด้วย
โดยทั่วร่างของเขาจะมีแสงสีเงินอันเจิดจ้ารายล้อมอยู่รอบตัว
และสามารถเดินทางข้ามมิติเวลาได้ด้วยพลังของ "โนอาห์อีจิส" ซึ่งเป็นปีกตรงกลางหลัง
ที่สามารถยืดหดได้ตามใจชอบ ทั้งยังทำให้บังเกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ดุจดั่งพระเจ้า
เขาได้ต่อสู้เสี่ยงตายกับ มนุษย์ยักษ์แห่งความมืด ดาร์คซากิ ข้ามผ่านมิติกาลเวลา
แล้วหายตัวเข้าไปในอีกมิติหนึ่งพร้อมกับดาร์คซากิ
แต่ทว่า,แสงนั้นได้ถูกสืบทอดไปยังเหล่าดูนามิสต์ที่อยู่บนโลก
ซึ่งในตอนสุดท้ายของซีรีส์อุลตร้าแมนเน็กซัสนั้น
โคมง คาซึกิ ก็สามารถแปลงกายกลับสู่ร่างนี้ได้อีกครั้งอย่างสง่างามในฐานะของดูนามิสท์
และสามารถพิชิต ดาร์คซากิ ลงได้ด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า
ท่าไม้ตาย และ ความสามารถพิเศษ
ไลท์นิ่งโนอาห์ : มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สุดยอดลำแสงอสุนียบาต" ซึ่งเป็นท่าลำแสงไม้ตายสุดยอด
ที่ โนอาห์ จะประกบหมัดซ้ายเข้าที่ข้อมือขวาเพื่อประสานอณูแสงพลาสม่าเอาไว้
ก่อนที่จะปลดปล่อยเป็นลำแสงเจ็ดสีออกมา
ในตอนสุดท้ายของซีรีส์เน็กซัส โนอาห์ ได้ยิงลำแสงนี้ไปปะทะกับ ไลท์นิ่งซากิ
ของ ดาร์คซากิ แล้วผลักมันกลับไปหา ดาร์คซากิ
จนทำลายมันให้สลายเป็นจุลไปในอวกาศได้ในที่สุด
โนอาห์ อินเฟอร์โน่ : ท่าที่ใช้หมัดซึ่งห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ 1 ล้านล้านองศาอัดใส่ศัตรู
ในตอนสุดท้ายของซีรีส์เน็กซัส โนอาห์ ได้ใช้ท่านี้ชกใส่ ดาร์คซากิ จนทำให้มันกระเด็น
ลอยออกไปนอกชั้นบรรยากาศ
โนอาห์สปาร์ค : ดาบแสงที่ใช้ในการสกัดกั้นศัตรูด้วยการปล่อยออกมาจากมือทั้งสองข้างที่สปาร์คกัน
ออกมาพร้อมกันในคราเดียว
โนอาห์ ได้ใช้ท่านี้กับ ดาร์คซากิ จนสามารถทำให้มันได้รับบาดเจ็บได้ในตอนสุดท้าย
กราวิตี้โนอาห์ : ท่าที่ โนอาห์ จะยิงคลื่นแรงโน้มถ่วงสูงออกมาจากหมัดทั้งสองข้าง
เพื่อบดขยี้ศัตรูให้แหลกเป็นผุยผง
ในตอนสุดท้ายของซีรีส์เน็กซัส ดาร์คซากิ ได้แสดงท่า กราวิตี้ซากิ
ซึ่งเหมือนกับท่า กราวิตี้โนอาห์ ออกมาให้พวกเราได้เห็น
ท่านี้มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า "ลำแสงแรงโน้มถ่วงพิฆาต"
โนอาห์ ธันเดอร์โวลท์ : ท่าที่จะปลดปล่อยสายฟ้าออกมาจากปลาย โนอาห์อีจิส ทั้งสองข้างซ้ายขวา
และเมื่อนำมันมาไขว้กันแล้วก็จะสามารถโจมตีด้วยสายฟ้าฟาดอันรุนแรงได้
โนอาห์ บริซาร์ด : ท่าที่จะผนึกศัตรูเอาไว้ในกำแพงน้ำแข็งชั่วนิจนิรันดร์ด้วยพลังพายุหิมะ
ติดลบศูนย์องศาสมบูรณ์
โนอาห์ชู้ต : โนอาห์จะนำมือซ้ายมาประกบกับหมัดขวาเพื่อยิงกระสุนอันทรงพลังออกมา
ไชน์นิ่งโนอาห์ : ท่าที่จะทำให้คู่ต่อสู้สูญสลายไปด้วยแสงสว่างที่ปล่อยออกมาจากทั่วร่าง
โนอาห์เวฟ : ท่าแห่งปาฏิหาริย์ที่ช่วยในการเปิดเผยร่างที่แท้จริงของศัตรูที่ปลอมตัวแอบแฝงมา
และคลายมนต์สะกดให้แก่พรรคพวกได้ด้วยแสงที่ปล่อยออกมาจากมือ
ทั้งยังช่วยในการฟื้นฟูพลังให้กับอีกฝ่ายที่กำลังได้รับบาดเจ็บได้ด้วย
โนอาห์รีเฟลคชั่น : ท่าสะท้อนลำแสงที่คู่ต่อสู้ปล่อยออกมาให้กลับคืนสู่ตัวเอง
โนอาห์กาแลคซี่ : ท่าที่สามารถควบคุมฝูงอุกกาบาตในแถบดาวเคราะห์น้อย
ที่ โนอาห์ เรียกมาด้วยคลื่นชนิดพิเศษ
โนอาห์มิราจ : ท่าที่จะสร้างภาพลวงตาของตัวเองขึ้นมาเพื่อล่อหลอกศัตรู
โนอาห์ธรูอาย : ลำแสงชนิดพิเศษที่จะปล่อยออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
เพื่อทำให้มองเห็นในสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้
โนอาห์ เดอะ ไฟนอล : หนึ่งใน 3 ท่าสุดยอดของโนอาห์ซึ่งเป็นท่าไม้ตายสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
โดยจะเป็นการผนึกคู่ต่อสู้เอาไว้ในช่องว่างระหว่างมิติด้วยการแลกกับพลังงาน
ทั้งหมดของตน
ในนิตยสาร โนอาห์ ได้ใช้ท่านี้ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับ ดาร์คซากิ
จนทำให้ตนกับ ดาร์คซากิ ข้ามทะลุมิติจากโลกของเนบิวล่า M78
กลับมายังโลกของอุลตร้าแมนเน็กซัสอีกครั้ง
ดิเมนชั่นโนอาห์ : หนึ่งใน 3 ท่าสุดยอดของโนอาห์ซึ่งเป็นการใช้พลัง Dimensional Energy
ที่ปล่อยออกมาจาก โนอาห์อีจิส ในการเดินทางข้ามมิติกาลเวลาได้
ด้วยพลังความสามารถนี้เองจึงทำให้ โนอาห์ สามารถไปปรากฎในโลกของอุลตร้าแมน
ซึ่งอยู่ในมิติอื่นๆได้ทุกมิติ
อัลติเมทโนอาห์ : หนึ่งใน 3 ท่าสุดยอดของโนอาห์ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการปลดปล่อยพลังงานขั้นสุดยอด
( Ultimate Energy ) อันมหาศาลที่ถูกสะกดเอาไว้ใน โนอาห์อีจิส ออกมา
แต่ไม่ปรากฎประวัติว่า โนอาห์ เคยใช้มาก่อน จึงยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน
อนึ่ง,ในบรรดาท่าไม้ตายเหล่านี้ นอกเหนือไปจากท่าที่จำเป็นต้องใช้ "โนอาห์อีจิส" แล้ว
ดาร์คซากิ เองก็สามารถใช้ท่าต่างๆเหล่านี้ได้เช่นกัน
( เพราะ ดาร์คซากิ ไม่มีอุปกรณ์เหมือนกับ "โนอาห์อีจิส" )
ดูนามิสต์
ฮิเมยะ จุน : ชายหนุ่มวัย 27 ปี ผู้ได้รับเลือกจาก อุลตร้าแมนเน็กซัส ให้เป็น ดูนามิสต์
หรือ ผู้ที่มีความสามารถเหมาะสมเป็นคนที่ 2
เขาเคยเป็นอดีตตากล้องของสำนักงานข่าวที่ถูกลูกหลงของสงครามจนได้รับบาดเจ็บในขณะที่
เขากำลังไปถ่ายทำข่าวในสนามรบ และได้รับการช่วยเหลือจากเด็กผู้หญิงในท้องถิ่นที่ชื่อ เซร่า
ในระหว่างที่เขาอาศัยอยู่กับเธอซึ่งเป็นเด็กกำพร้า เขาก็เห็นเธอเปรียบเสมือนกับเป็นน้องสาว
ทว่า,เมื่อมีสงครามระลอกใหม่เกิดขึ้น ฮิเมยะ ก็วิ่งเข้าไปในสมรภูมิรบเพื่อไปเก็บภาพอีกครั้ง
โดยไม่สนใจการห้ามปรามของเซร่า
ในขณะที่เขากำลังเก็บภาพของเหล่าผู้คนที่ล้มตายอยู่นั้นเอง
เซร่าที่วิ่งตามเขามาด้วยความเป็นห่วงก็โดนระเบิดจนเสียชีวิตต่อหน้าเขา
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาเกิดแผลลึกทางใจ
หลังจากนั้นเขาจึงใช้ชีวิตพเนจรไปทั่วโลกโดยไร้จุดมุ่งหมาย
แต่เขาก็จะฝันเห็น เซร่า อยู่ทุกค่ำคืน
ซึ่งในฝันนั้นเธอจะชี้นำทางให้เขาเข้าไปภายในซากโบราณปริศนา จนเขาได้ไปสัมผัสกับ
สโตนฟลูเกล และได้รับสืบทอดแสงมา จนสามารถแปลงร่างเป็น อุลตร้าแมนเน็กซัส ได้
แต่เขาก็มักจะกลัดกลุ้มอยู่เสมอว่าทำไมเขาจึงได้กลายเป็นผู้สืบทอดแห่งแสง
และคิดว่าการต่อสู้ในฐานะ อุลตร้าแมน จนตัวเองได้รับบาดเจ็บนั้น
คือ บาปที่เขาไม่สามารถช่วยเซร่าและผู้คนที่ล้มตายลงไปได้
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องชดใช้ แต่หลังจากผ่านการต่อสู้อันแสนดุเดือดกับพวกบีสต์ ,
ดาร์คเฟาสท์ และ ดาร์คเมฟิสท์ แล้ว เขาก็ได้พบกับความหมายที่แท้จริงของพลังแห่ง
อุลตร้าแมนที่ได้รับสืบทอดมา ในระหว่างที่กำลังต่อสู้กับ ดาร์คเมฟิสท์ เป็นครั้งสุดท้าย
เขาได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้มาอย่างต่อเนื่อง
จนไม่สามารถต่อสู้กับ กอลโกเล็ม ได้อย่างจริงๆจังๆ
และในตอนที่สู้กับ คุโทล่า ในตอนที่ 23 เขาก็ถูกจับตรึงกางเขนเอาไว้
แต่ทีม Night Raider ก็มาช่วยให้เขาฟื้นตัวกลับมาได้อีกครั้ง
หลังจากนั้น ฮิเมยะ จึงได้เปิดฉากต่อสู้กับ ดาร์คเมฟิสท์ อย่างเอาเป็นเอาตาย
และหายสาปสูญไปพร้อมกับ มิโซโรงิ ท่ามกลางเปลวเพลิงจากการระเบิด
ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องลาจากกับ เน็กซัส
หลังจากที่ ฮิเมยะ หายสาปสูญไปนาน แต่แล้วเขาก็ได้ปรากฎตัวให้เราเห็นอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนสุดท้ายเพื่อคอยเป็นกำลังใจให้กับ โคมง ที่กำลังต่อสู้อยู่กับ ดาร์คซากิ
อันที่จริงทางผู้เขียนบทได้มีการกำหนดพล็อตเรื่องเบื้องหลังเอาไว้ด้วยว่า
ในช่วงที่ ฮิเมยะ ออกพเนจรอยู่นั้น เขาได้บังเอิญไปพบกับ เซ็นจุ เร็น ที่อเมริกา
และสัมผัสถึงความโดดเดี่ยวเดียวดายที่เหมือนกับตนเอง
ในตัวของเด็กหนุ่มคนนี้โดยที่เขาไม่รู้ตัว
ซึ่งนั่นเป็นการพบกับ เร็น เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเขา
แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง ฮิเมยะ ก็ได้เลือกให้ เร็น เป็นดูนามิสต์คนต่อไปโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
( ผู้รับบท : คิริชิมะ ยูสุเกะ )
เซ็นจุ เร็น : ดูนามิสต์ คนที่ 3 ที่ปรากฎตัวต่อจาก ฮิเมยะ ที่หายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี ที่มีอุปนิสัยร่าเริงและมีอัธยาศัยดี
ซึ่งไปเติบโตที่ เมืองดัลลัส ประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่กลับหนีมาอาศัยอยู่ที่ฉากหลังของสวนสนุกและทำงานพิเศษอยู่ที่นั่น
เขาเป็นผู้รับช่วงสืบทอดแสงและได้ต่อสู้ในฐานะของ อุลตร้าแมนเน็กซัส คนใหม่
แม้ว่าเขาจะมีความกล้าหาญอยู่เต็มเปี่ยม และเข้าต่อสู้กับศัตรูอย่างเต็มกำลังทุกครั้ง
แต่เขามักจะฝืนตัวเองเกินไป ซึ่งนั่นมีต้นสายปลายเหตุมาจากความคิดของเขาที่ว่า
ชีวิตของตนเองจะดับสูญลงไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
จึงทำให้เขาพร้อมที่จะสละชีวิตของตัวเองได้ทุกเมื่อ
เขาคือหนึ่งในเหล่า "บุตรแห่งโพรเมเท" ซึ่งเป็นทารกลูกผสมที่ถือกำเนิดจากการนำเอาเฉพาะ
DNA ที่เยี่ยมยอดมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ตามโครงการ "Prometheus Project"
ของหน่วยงานลับสุดยอด "อาคาเดมี่" ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัด TLT สำนักงานใหญ่อเมริกาเหนือ
ทว่า, เร็น มีความบกพร่องทางพันธุกรรมที่ทำให้เขาถึงแก่ชีวิตได้
นั่นคือเซลล์ภายในร่างกายของเขาจะเกิดกระบวนการอะพอพโทซิส
( การตายของเซลล์ในรูปแบบหนึ่ง ) ขึ้นในช่วงระหว่างวัย 16 ถึง 17 ปี
จนทำให้เขาถึงขั้นเสียชีวิต
ซึ่งถ้าหากไม่มียาวิเศษ "ราฟาเอล" ก็จะไม่สามารถรักษาหายได้
ดังนั้นเขาจึงเหลืออายุขัยอยู่ไม่มากนัก
สุดท้ายเขาได้ค้นพบความหมายของการมีชีวิตจากคำพูดของนางิ
และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงได้เลือกเธอให้เป็นดูนามิสต์คนต่อไป
โดยหลังจากที่เขากำจัด อิซมาเอล ลงได้ในตอนที่ 36 แล้ว เขาก็แยกตัวจากเน็กซัสไป
หลังจากนั้นเขาก็ถูกส่งตัวไปเข้าโรงพยาบาลซึ่งมียาราฟาเอลที่เหล่า "บุตรแห่งโพรเมเท"
คนอื่นๆที่เปรียบเสมือนกับพี่น้องและเพื่อนๆของเร็น กับ ไคโมโตะ ฮายาโตะ คิดค้นขึ้นรออยู่
เขาได้ออกมาปรากฎตัวในตอนสุดท้ายอีกครั้งเพื่อคอยเป็นกำลังใจให้กับ โคมง ที่กำลังต่อสู้กับ
ดาร์คซากิ เช่นเดียวกับฮิเมยะ ( ผู้รับบท : อุจิยามะ มาซาโตะ )
องค์กรพิทักษ์โลก
องค์กรปลดแอกโลก TLT ( Terrestrial Liberation Trust )
องค์กรป้องกันพิเศษระดับโลกที่ไม่เปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณชนเพื่อปฏิบัติภารกิจขับไล่ สเปซบีสต์ ที่เป็นภัยคุกคามมนุษยชาติอย่างเป็นความลับสุดยอด โดยมีเป้าหมายหลักคือการตรวจสอบค้นหาและกวาดล้างเหล่าสเปซบีสต์ ซึ่งมีศูนย์บัญชาการใหญ่อยู่ที่อเมริกาเหนือ
ฐานทัพ ฟอร์เทรสฟรีด้อม สาขาที่ 3 ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานทัพของ "TLT-J" ที่องค์กร TLT มาก่อตั้งอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น มีฐานที่ตั้งมั่นอยู่ที่ก้นทะเลสาปของเขื่อนที่อยู่ในหุบเขาลึกในแถบคันโต ที่ฐานทัพแห่งนี้จะมีเจ้าหน้าที่อยู่ 515 นาย และจะมีผู้บัญชาการอยู่ 3 คน คือ โทโก , โซมะ และ โคยานางิ ซึ่งมีอำนาจผูกขาดในการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับ บีสต์ ในเขตพื้นที่คันโต
สมาชิกหน่วย
คิราซาวะ ยู : เสนาธิการฝ่ายวางแผนของ TLT-J ผู้มีความสามารถพิเศษที่ผู้คนเรียกว่า "Illustrator"
สมญานี้ได้มาจากการที่เขาวาดภาพอนาคตที่เขาหยั่งรู้ล่วงหน้าได้ในช่วงแรกๆ
ที่ความสามารถพิเศษของเขาตื่นขึ้นมาในฐานะของ Contacty ( ผู้ติดต่อ )
เขาสามารถสัมผัสถึง พวกบีสต์ และ อุลตร้าแมน ได้
และมักจะปรากฎตัวต่อหน้าทีม Night Raider ด้วยภาพ 3 มิติ เพื่อคอยสั่งการพวกเขา
เขาเป็นหนึ่งใน บุตรแห่งโพรเมเท เช่นเดียวกับ เซ็นจุ เร็น ดูนามิสต์คนที่ 3
แถมตอนที่อยู่ในหอพักของสถาบัน
เขายังเป็นเพื่อนร่วมห้องเดียวกันกับ เร็น อยู่ประมาณเดือนนึง
( ผู้รับบท : ทานากะ โนบุฮิโกะ )
มัตซึนางะ โยอิจิโร่ : หัวหน้าผู้ดูแลองค์กร TLT-J ซึ่งเคยสังกัดอยู่ภายในหน่วยตรวจสอบข้อมูล
ของคณะรัฐมนตรี
เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วเขาจะเป็นคนที่ดูสุขุมมาดนิ่ง
แต่เพื่อเป้าหมายแล้วเขาจะไม่เลือกวิธีการใดๆทั้งสิ้น
ดังจะเห็นได้จากตอนที่เขาจับกุมตัว ฮิเมยะ จุน กับ เซ็นจุ เร็น
ที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้จนขยับไปไหนไม่ได้
แล้วนำไปทดสอบร่างกายเพื่อค้นหาความลับแห่งขุมพลังของอุลตร้าแมน
แต่สาเหตุที่เขาต้องทำเช่นนั้นก็เพราะว่าเขาต้องการที่จะปกป้องมนุษยชาติจากใจจริง
ด้วยเหตุที่เขายังคงรู้สึกเสียใจกับการจากไปของภรรยา
ในเหตุภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่ชินจูกุเมื่อ 5 ปีก่อน
หลังจากนั้นเขาจึงต้องใช้ชีวิตอยู่กับ ฮาซึกิ ลูกสาวซึ่งเป็นเด็กนักเรียน ม.ปลาย
เพียงแค่สองคนพ่อลูก แต่เขามักจะติดภารกิจจนไม่ค่อยได้กลับบ้านสักเท่าไรนัก
( ผู้รับบท : โฮริอุจิ มาซามิ )
มิซึฮาระ ซาระ : เธอคือผู้ที่เคยร่วมงานกับ มาคิ ชุนอิจิ ดูนามิสต์คนแรก ในภาคหนังโรง ULTRAMAN
และเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ Prometheus Project เพื่อพยายามที่จะให้กำเนิด
ผู้มีความสามารถพิเศษขึ้นมาแทนที่ ไคโมโตะ ฮายาโตะ
เพื่อเตรียมเอาไว้รับมือกับเหล่าบีสต์ที่จะปรากฎตัวขึ้นในอนาคตอีกครั้ง
แต่เนื่องจากเธอเล็งเห็นว่ามาตรการรับมือกับพวกบีสต์จะต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก
เธอจึงออกคำสั่งระงับการพัฒนา ราฟาเอล เอาไว้ชั่วคราว
แม้ว่าเธออาจจะดูเป็นคนเลือดเย็นที่ยอมตัดหางปล่อยวัดคนอื่นได้เพื่อภารกิจและเป้าหมาย
แต่ที่จริงแล้วอีกด้านหนึ่งเธอก็เป็นห่วงพวกเร็นและเป็นผู้ที่ปฏิเสธความคิดของนางิ
ที่ว่า "ความเกลียดชังนั่นแหละคือพลัง" เช่นกัน ( ผู้รับบท : โทยามะ เคียวโกะ )
ไคโมโตะ ฮายาโตะ : ลูกน้องที่ขึ้นตรงกับ มิซึฮาระ ซาระ ซึ่งอยู่ในสังกัด TLT สาขาอเมริกาเหนือ
เขาดูจะเป็นคนที่สุขุมและไม่ช่างพูด แต่ที่จริงแล้วเขาก็คือผู้ที่เป็นห่วงเร็น
และคอยเฝ้าดูเขาห่างๆอยู่ในเงามืดมาตลอด
เขาคือผู้มีความสามารถพิเศษที่จัดอยู่ในระดับ A
ซึ่งสามารถติดต่อกับผู้มาเยือนได้ตั้งแต่เด็ก
และเป็นคนเดียวที่มี DNA ซึ่งถือเป็น DNA ต้นกำเนิดเหล่า "บุตรแห่งโพรเมเท"
ในโครงการ "Prometheus Project" ( ผู้รับบท : คิตาโอกะ ริวคิ )
ไวท์ สวีปเปอร์ : ทีมพิเศษที่จะสวมใส่ชุดโพรเทคยูนิฟอร์มสีขาวซึ่งมีหน้าที่ในการเก็บเศษซากที่เหลือ
อาทิเช่น ซากเซลล์ของบีสต์ที่หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุ เพื่อนำไปทำลาย
Night Raider
ทีมปฏิบัติการพิเศษของ TLT-J ที่จัดตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ในการกวาดล้างบีสต์ ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "ทีมปฏิบัติการรบพิเศษ TLT-J" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "Night Raider" ภารกิจหลักของทีมนี้คือการทำลายสเปซบีสต์ให้สูญสิ้นอย่างเป็นความลับสุดยอด หน่วยงานนี้ถือเป็นแหล่งรวมเจ้าหน้าที่ชั้นนำของ TLT มาอยู่ด้วยกัน ซึ่ง โคมง คาซึกิ เองจะสังกัดอยู่ใน "ทีม Night Raider หน่วย A"
นอกจากหน่วย A แล้วดูเหมือนว่ายังมีทีมอื่นๆอีกหลายหน่วย แต่ไม่ได้มีการปรากฎตัวในเรื่อง เพียงแต่มีการกล่าวถึงในตอนที่ 18 และตอนสุดท้ายที่มีกองยาน Chrome Chester มาปรากฎหลายลำเท่านั้น
สมาชิกหน่วย
วาคุระ เอย์สุเกะ : หัวหน้าทีม Night Raider หน่วย A ผู้มีความรับผิดชอบในหน้าที่สูง
และสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างสุขุมเยือกเย็น
เขาไม่เพียงแต่จะเป็นคนที่ซื่อตรงต่อหน้าที่การงานเท่านั้น
แต่เขายังเป็นหัวหน้าที่ใจดีผู้คอยดูแลลูกน้องอย่าง โคมง ที่มีเรื่องกลุ้มใจอยู่เสมอ
หลังจากที่ ดาร์คซากิ ได้เผยโฉมออกมา เขาต้องขับยาน โครมเชสเตอร์ δ ( เดลต้า )
ออกไปต่อสู้เพียงลำพัง เพราะ ชิโอริ ได้รับบาดเจ็บหนัก
ส่วน โคมง กับ นางิ ก็ติดอยู่ในเลอเต้
โดยในจังหวะที่ยานของเขากำลังจะตกลงสู่พื้นนั้นเอง
โคมง ที่แปลงร่างเป็น เน็กซัส ก็มาช่วยเขาเอาไว้ได้ทันท่วงที
ซึ่งตอนนั้นนั่นเองที่เขารู้สึกได้ว่า โคมง ก็คือ เน็กซัส โดยที่ไม่มีเหตุผล
( ผู้รับบท : อิชิบาชิ ทาโมสึ )
ไซโจ นางิ : รองหัวหน้าทีม Night Raider หน่วย A อายุ 27 ปี
ในตอนที่เธอยังเป็นเด็ก พ่อแม่ของเธอได้ถูกฆาตกรรมด้วยฝีมือของใครบางคน
และเมื่อ มิโซโรงิ ชินยะ ผู้ที่เธอให้ความเคารพในฐานะของผู้บังคับบัญชา
และเป็นคนที่เธอหลงรักได้กลายเป็น มนุษย์ยักษ์แห่งความมืด "ดาร์คเมฟิสท์"
ผู้ควบคุมเหล่าบีสต์ไป เธอเลยรู้สึกจงเกลียดจงชังทั้ง มิโซโรงิ และ บีสต์
ดังนั้นเธอจึงมักจะแสดงคำพูดหรือพฤติกรรมที่ค่อนข้างจะรุนแรง
เช่น การให้ความสำคัญในการกำจัดบีสต์มากกว่าการปกป้องผู้คน เป็นต้น
ตอนแรกเธอเห็นว่า ฮิเมยะ จุน เป็นศัตรูเพราะเขาสามารถสัมผัสถึงพวกบีสต์ได้
และต้องทะเลาะกับ โคมง เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อได้เห็นถึงการกระทำของเขา
ที่พยายามจะปกป้องมนุษย์จากการคุกคามของบีสต์แล้ว เธอจึงค่อยๆเริ่มเข้าใจในตัวเขามากขึ้น
เรื่อยๆ แม้ว่าเธอจะเคยมีใจให้กับ มิโซโรงิ มาก่อน แต่สำหรับ มิโซโรงิ เองแล้วเขาก็แค่นับถือ
และชอบเธอในฐานะที่เป็นนักรบเท่านั้น
ในฐานะนักรบแล้วเธอถือเป็นผู้มีความสามารถเป็นอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากตอนที่ 24
ที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆถูก มิโซโรงิ เล่นงาน แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่สามารถต้าน มิโซโรงิ เอาไว้ได้
หรืออย่างในตอนที่ เร็น ต่อสู้โดยที่ไม่สนใจว่าตัวเองจะได้รับบาดเจ็บหรือจะตายยังไงก็ช่าง
เธอก็เป็นคนที่สัมผัสถึงเรื่องนี้ได้ก่อนใคร
ในช่วงสุดท้ายเธอได้กลายเป็น ดูนามิสต์ คนที่ 4 ผู้รับช่วงสืบทอดแสงต่อจากเร็น
ซึ่ง ดาร์คซากิ ได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าภายหลังเธอจะต้องได้เป็นดูนามิสต์
ดังนั้นมันจึงได้วางแผนสังหารครอบครัวของเธอ และทำให้ มิโซโรงิ หักหลังพรรคพวก
เพื่อปลูกฝังความเกลียดชังเอาไว้ภายในจิตใจของเธอให้เต็มเปี่ยม
จนเมื่อ ดาร์คซากิ เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา เธอจึงแปลงร่างโดยระเบิดความโกรธออกมา
อย่างเต็มที่ เลยทำให้พลังงานแสงถูกเปลี่ยนเป็นพลังความมืด
แล้วโดน ดาร์คซากิ ช่วงชิงเอาไปจนหมด จนตัวเธอเองต้องถูกขังอยู่ท่ามกลางความมืด
ที่ เลอเต้ ปลดปล่อยออกมา แต่ โคมง ก็มาช่วยเธอเอาไว้ได้
เธอจึงได้เลือกให้เขาเป็นดูนามิสต์คนต่อไป
โดยที่ตัวเธอเองเป็นดูนามิสต์เพียงคนเดียวที่ไม่ได้แปลงเป็นจูเนสโหมด
( ผู้รับบท : ซาโต้ ยาสึเอะ )
ฮิราคิ ชิโอริ : เจ้าหน้าที่ในทีม Night Raider หน่วย A
อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีฝีมือในการยิงปืนไม่เป็นรองใคร
เธอเป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใสอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้บรรยากาศในทีมไม่ดูอึมครึมจนเกินไป
สิ่งที่เธอรังเกียจก็คือคนขี้เมา
หลังจาก Episode EX แล้ว เธอก็เริ่มคบหากับ อิชิโบริ จนสนิทสนมกัน
และเปลี่ยนไปเรียกชื่อเขาว่า "อิชชี่" แทน แต่เธอกลับต้องถูกเขายิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในตอนสุดท้าย แต่ก็รักษาตัวกลับมาได้ในการต่อสู้ช่วงสุดท้าย
ในช่วงแรกเธอได้ทำหน้าที่เป็นครูฝึกซ้อมการรบให้กับ โคมง ด้วย ( ผู้รับบท : โกโต้ เคย์โกะ )
อิชิโบริ มิตซึฮิโกะ : เจ้าหน้าที่ในทีม Night Raider หน่วย A ผู้มีหน้าที่ในการวิเคราะห์ข้อมูล
เขาเป็นคนที่มีความสามารถแต่มักจะปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง
โดยที่ไม่ออกหน้าออกตามากจนเกินไป
อีกทั้งยังเป็น แฮ็กเกอร์ ( นักล้วงข้อมูล ) ที่สามารถแฮ็กข้อมูลได้
เหนือชั้นกว่าแฮ็กเกอร์ทั่วไป
โดยเขาได้แสดงฝีมือให้เห็นจากการสืบหาความจริง
ของ "ภัยพิบัติครั้งใหญ่ในชินจูกุ" เมื่อ 5 ปีก่อนซึ่งถูกปิดบังเอาไว้มาได้
เขาเปรียบเสมือนพี่ชายของ โคมง ที่สามารถพูดจาหยอกล้อกันได้
แต่ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คือ Unknown Hand หรือก็คือ ดาร์คซากิ ที่มาเข้าสิงร่าง
ของ ยามาโอกะ ฮาจิเมะ หนึ่งในนักวิจัยของทีมวิจัยผู้มาเยือนเมื่อ 18 ปีก่อน
ซึ่งเป็นผู้บงการ มิโซโรงิ ชินยะ และ ไซดะ ริโกะ อยู่ในเงามืด
เพื่อให้ตนได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในฐานะของ ดาร์คซากิ ซึ่งเป็นร่างเดิมของมันอีกครั้ง
ในตอนสุดท้ายเขาได้เปิดเผยกับนางิว่าเขาคือคนที่สังหารพ่อแม่ของเธอ
เพื่อยั่วยุให้เธอแปลงร่างด้วยความแค้นแล้วอาศัยจังหวะนั้นในการแปลงพลังงานแสง
ให้กลายเป็นพลังงานด้านมืด เพื่อตนจะได้ดูดกลืนพลังงานนั้นแล้วคืนชีพกลับไป
เป็น ดาร์คซากิ อีกครั้ง เนื่องจากเขาได้มอบพลังในการควบคุมเหล่าบีสต์ไปให้ มิโซโรงิ
กับ ริโกะ จึงทำให้ตัวของเขาเองไม่สามารถที่จะควบคุมพวกมันได้
จนเกือบจะถูกพวกมันทำร้ายเอาเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เขาสามารถปกปิดตัวตนที่แท้จริงมาได้จนถึงวินาทีสุดท้าย
โดยที่ความไม่แตก
แม้จะอยู่ในร่างของ อิชิโบริ แต่มันก็สามารถใช้มือเปล่ายิงคลื่นอัดกระแทก
หรือกระสุนแสงออกมาป้องกันตัวได้ ( ผู้รับบท : คาโต้ โคเซย์ )
โคมง คาซึกิ : อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยของกรมตำรวจ
ซึ่งถูกหน่วยงานป้องกันพิเศษ TLT ดึงตัวให้มาเข้าสังกัดหน่วย Night Raider
ซึ่งเป็นทีมชั้นนำขององค์กร
เขาเป็นชายหนุ่มวัย 24 ปี ที่มองโลกในแง่ดีและมีจิตใจอันอ่อนโยน
เนื่องจากตอนที่เขายังเด็ก เขาเคยได้รับการช่วยเหลือ
ในขณะที่เขากำลังจะจมน้ำพร้อมกับคำพูดที่ว่า "อย่าเพิ่งหมดหวังสิ"
นั่นจึงเป็นตัวจุดประกายให้เขามีความยึดมั่นที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอย่างแรงกล้า
ดังนั้นเขาจึงมีการทะเลาะกับ ไซโจ นางิ ที่ให้ความสำคัญในการกำจัดบีสต์มาก่อน
การช่วยเหลือชีวิตคนอยู่บ่อยครั้ง แต่พอผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน
เธอก็กลายเป็นผู้ร่วมงานที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจได้
ตอนแรก โคมง นึกว่าคำพูดว่า "อย่าเพิ่งหมดหวังสิ" ที่เขาได้ยินนั้น
เป็นเสียงของมนุษย์ต่างดาว แต่ความจริงแล้วในตอนสุดท้ายที่ โคมง ยื่นมือออกไปช่วย นางิ
ใน เลอเต้ นั้นเอง คือ มือที่เอื้อมไปช่วยโคมงในตอนเด็กเอาไว้
ด้วยสาเหตุจากความคลาดเคลื่อนของเส้นแกนเวลาที่เกิดขึ้น
เพราะพลังงานแรงสูงภายในเลอเต้
ในขณะที่เขากำลังปฏิบัติภารกิจพิเศษในทีม Night Raider อยู่นั้น
บางครั้งเขาก็รู้สึกเจ็บปวดทรมานใจและต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป
แต่เขาก็ได้รับคำชี้แนะจาก ฮิเมยะ จุน
( หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อุลตร้าแมน มนุษย์ยักษ์แห่งแสง )
จนสามารถขจัดด้านมืดภายในจิตใจของตน และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในระหว่างการต่อสู้
ตอนแรกเขาถูกวางตัวให้เป็นพระเอกของเรื่องที่แปลงร่างเป็นอุลตร้าแมนไม่ได้
ซึ่งเป็นพล็อตเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในตอนสุดท้ายเขาก็กลายเป็นผู้รับช่วงสืบทอดแสง
ในฐานะดูนามิสต์คนที่ 5 และเกิดการวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายจนกลายเป็น อุลตร้าแมนโนอาห์
และกำจัด ดาร์คซากิ ที่เป็นต้นตอของความชั่วร้ายทั้งปวงลงได้เป็นผลสำเร็จ
( ผู้รับบท : คาวาคุโบะ ทาคุจิ )
Memory Police
หนึ่งในทีม TLT-J ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อปกปิดคดีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบีสต์ไม่ให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้ โดยมี ชุโต้ ซายะ เป็นหัวหน้าทีม พวกเธอจะทำหน้าที่พิทักษ์พยานผู้พบเห็น บีสต์ กับ อุลตร้าแมน แล้วจะลบความทรงจำนั้นออกไปด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า "เมโมเรเซอร์" โดยยึดหลักว่า "ความไม่รู้ก็ถือเป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งของผู้คนในสังคมนี้ซึ่งต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการรักษาวิถีทางสังคมมาก่อน" และเพื่อป้องกันไม่ให้ สเปซบีสต์ ที่กินความหวาดกลัวเป็นอาหารถือกำเนิดขึ้นมา นี่จึงเป็นเหตุผลที่จำเป็นต้องก่อตั้งทีมนี้ ทว่า,ความทรงจำของผู้คนที่เคยถูกอุลตร้าแมนช่วยเอาไว้ก็จะถูกลบออกไปพร้อมกับเรื่องของบีสต์ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็เท่ากับเป็นการทำลายสายใยระหว่าง มนุษย์ กับ อุลตร้าแมน ลงไปด้วย
ชุโต้ ซายะ : หัวหน้าหน่วย Memory Police ซึ่งมีหน้าที่ในการลบความทรงจำของผู้คนที่เคยพบเห็นบีสต์
ดูเหมือนว่าที่จริงแล้วตัวเธอเองก็รู้สึกยอมรับกับภารกิจนี้ไม่ได้เช่นกัน
ในตอนสุดท้ายเมื่อเธอได้เห็นผู้คนคอยเชียร์เป็นกำลังใจให้อุลตร้าแมนแล้ว
เธอก็รู้สึกโล่งใจและเลือกที่จะไม่ใช้ Memoraser ( อุปกรณ์ลบความทรงจำ )
( ผู้รับบท : ฮิดากะ ฮิโตมิ )
โนโนมิยะ มิซึโอะ : หนึ่งในเจ้าหน้าที่หน่วย Memory Police
ผู้ทำหน้าที่คอยสังเกตดูพฤติกรรมของ เซ็นจุ เร็น ดูนามิสต์คนที่ 3
ตามคำสั่งของมัตซึนางะ โดยที่ไม่รู้ว่าตัวจริงของเขาคือใคร
ตอนแรกเธอได้เข้าไปใกล้ชิดกับ เร็น เพราะหน้าที่
แต่หลังจากนั้นเธอก็ค่อยๆรู้สึกหลงรักเขามากขึ้นทีละนิด
จริงๆแล้วภายในใจของเธอก็มีความรู้สึกขัดแย้งต่อภารกิจของตัวเอง
ดังนั้นหลังจากที่เธอลบความทรงจำของเป้าหมายแล้ว
เธอจึงมักจะภาวนาให้พวกเขาไม่ต้องผจญกับฝันร้ายอีกเป็นครั้งที่สอง
เธอเป็นลูกคุณหนูที่ถูกทางบ้านซึ่งเป็นตระกูลนักรบในสมัยโบราณอบรมสั่งสอน
มาเป็นอย่างดี และเธอก็ถนัดทางด้านวิชาการต่อสู้ผิดกับที่เห็นจากภายนอกอีกด้วย
( ผู้รับบท : มิยาชิตะ โทโมมิ )
มิซาวะ ฮิโรยูกิ : เจ้าหน้าที่หน่วย Memory Police ซึ่งถูก Unknown Hand ควบคุมร่างเอาไว้
ในขณะที่เขากำลังตามล่าตัว มิโซโรงิ ที่หลบหนีไป
จนกลายเป็น มนุษย์ยักษ์แห่งความมืดคนที่ 3 "ดาร์คเมฟิสท์ สเวย์"
ถึงแม้ว่ามันจะเล่นงาน มิโซโรงิ ที่แปลงร่างเป็น ดาร์คเมฟิสท์ จนบาดเจ็บสาหัสได้
แต่สุดท้าย ดาร์คเมฟิสท์ ก็สามารถตรึงร่างของมันเอาไว้
เพื่อให้ อุลตร้าแมนเน็กซัส จูเนสบลู ยิง แอโร่ว์เรย์ สตรอม กำจัดมันไปพร้อมกับเขา
( ผู้รับบท : ทาเคอุจิ โยชิโตะ )
ตัวละครอื่นๆ
ไซดะ ริโกะ : คนรักของ โคมง คาซึกิ
หลังจากที่เธอเจอกับ โคมง เมื่อครึ่งปีก่อน ก่อนที่ละครจะเริ่มดำเนินเรื่อง
เธอและครอบครัวได้ถูก บีสต์ ( มิโซโรงิ ) สังหาร และกลายเป็นหุ่นเชิด ( ดาร์คเฟาสท์ )
ให้กับ มิโซโรงิ ที่ตกเป็นหุ่นเชิดของ Unknown Hand อีกทีหนึ่ง
สุดท้ายเธอได้สติคืนมาอีกครั้งแล้วช่วยปกป้อง โคมง จากการโจมตีของสเปซบีสต์
จนเธอได้สลายกลายเป็นแสงไปภายในอ้อมแขนของโคมง ( ผู้รับบท : นากามารุ ชิอง )
มิโซโรงิ ชินยะ : อดีตรองหัวหน้าทีม Night Raider หน่วย A ผู้ใช้ ดาร์คอีโวลเวอร์ ในการแปลงร่างเป็น
มนุษย์ยักษ์แห่งความมืด ดาร์คเมฟิสท์
เขาได้เปลี่ยนจิตใจที่หวาดกลัวต่อบีสต์ของตนให้กลายเป็นความปรารถนาต่อพลัง
จนยอมมอบจิตใจด้านมืดนั้นให้เป็นพลังของ ดาร์คเมฟิสท์ เพื่อรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
เขารู้สึกสนุกกับการได้สัมผัสถึงความรู้สึกด้านลบ อย่าง ความโกรธแค้น , ความหวาดกลัว
หรือ ความเศร้าโศกของมนุษย์ และต้องการจะพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น จึงได้ใช้บีสต์ในการเปิดฉาก "เดธเกมส์"
เดิมทีเขาก็มีความสามารถมากพอที่จะเอาชนะทุกคนในทีม Night Raider
ยกเว้น นางิ ได้อยู่แล้ว
อย่างในตอนที่เขาถูก TLT จับกุมตัว เขาก็สามารถใช้วิชาการต่อสู้ล้มเจ้าหน้าที่ได้หลายนาย
ก่อนที่จะหลบหนีไปได้เช่นกัน เขาจะคอยใช้ความสามารถพิเศษและอุบายต่างๆในการทำให้
โคมง ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่เพราะความเชื่อมั่นในพลังของตนมากเกินไป
เลยกลับส่งผลให้ โคมง มีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น
ในตอนที่ 24 เขาได้พ่ายแพ้ให้กับ เน็กซัส และหายสาปสูญไปพร้อมกับ ฮิเมยะ
แต่เขาก็กลับมาปรากฎตัวอีกครั้งในสภาพที่สูญเสียความทรงจำ และถูก TLT ควบคุมตัวไว้
หลังจากที่เขาได้ความทรงจำกลับคืนมา
และรู้ว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในหุ่นเชิดของ Unknown Hand
เขาจึงแปลงร่างเป็น ดาร์คเมฟิสท์ เพื่อเข้าต่อสู้กับ ดาร์คเมฟิสท์ สเวย์ และยอมสละชีวิต
ของตัวเองไปพร้อมกับมัน ( ผู้รับบท : ชุนโด มิตซึโทชิ )
เซร่า : เด็กกำพร้าที่ ฮิเมยะ ได้ไปพบที่ประเทศแห่งหนึ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระหว่างสงคราม
เธอคือผู้ที่ช่วย ฮิเมยะ เอาไว้ในขณะที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และชื่นชมเขาเป็นเหมือนพี่ชาย
แต่สุดท้าย เซร่า ที่รู้สึกเป็นห่วง ฮิเมยะ และวิ่งตามเขาเข้าไปในสนามรบ
กลับถูกระเบิดตายไปต่อหน้าต่อตาฮิเมยะ เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นบาดแผลลึกในใจของฮิเมยะ
หลังจากนั้นเขาก็จะเห็นเธอเป็นผู้คอยชี้นำทางเขาไปหาแสงแห่งอุลตร้าแมนในฝันมาตลอด
( ผู้รับบท : ทานากะ ไม )
เนโกโระ จินโซ : นักข่าวอิสระที่รู้จักกับฮิเมยะ แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ชอบทำอะไรบุ่มบ่าม
แต่เขาก็ถือเป็นผู้ที่เข้าใจในตัวของ ฮิเมยะ เป็นอย่างดีอีกคนหนึ่ง
ด้วยลางสังหรณ์ของนักข่าว เขาจึงได้ล่วงรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของ บีสต์ กับ องค์กร TLT
และพยายามจะสืบหาความจริง แต่ว่าเขาก็ถูกจับตัวได้ในตอนที่ 25
และโดนลบความทรงจำที่เกี่ยวกับ บีสต์ และ TLT ไปจนหมดสิ้น
( ผู้รับบท : โอโคจิ ฮิโรชิ )
ซาคุตะ เมกุมิ : อดีตนักข่าวรุ่นพี่ในบริษัทหนังสือพิมพ์ที่ ฮิเมยะ เคยทำงานอยู่
จากการที่เธอได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการสืบหาข้อเท็จจริงของเนโกโระ
จึงทำให้เธอต้องเข้าไปพัวพันกับบีสต์
และได้พบกับ ฮิเมยะ อีกครั้งภายหลังจากที่เขาหายตัวไปโดยไม่ทราบข่าวคราว
จากนั้นเธอก็ถูก มิโซโรงิ ลักพาตัวไปเพื่อใช้เป็นจุดอ่อนของฮิเมยะ
และได้กลายเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์การต่อสู้ครั้งสุดท้าย
ณ.แดนมรณะ ( ทะเลวิปลาส ) ของเขา
แต่หลังจากที่การต่อสู้จบลง เธอก็ถูกหน่วย เมโมรี่โพลิส ลบความทรงจำไปในตอนที่ 25
( ผู้รับบท : คาวาชิมะ โทโมโกะ )
ฮาริสึ นาโออิจิ : เจ้าของร้านอาหารที่อยู่ภายในสวนสนุก เขาได้พบกับ เร็น ที่กำลังร่อนเร่ไปอย่างไร้จุดหมาย
จึงได้ว่าจ้างเขาให้มาเป็นพนักงานที่มาอาศัยอยู่ในร้าน
เขาเป็นคนอัธยาศัยดีและเป็นผู้ที่ให้ความไว้วางใจในตัวของพวกเร็นเป็นอย่างมาก
( ผู้รับบท : คิคุจิ เอย์อิจิ )
โอจิโระ ทาคาชิ : เพื่อนที่ทำงานพิเศษด้วยกันกับเร็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะที่บ้านของเขาเป็นร้านช่างหรือเปล่า
เขาจึงมักจะช่วยซ่อมแซมและตบแต่งห้องของเร็นให้เสมอ
แม้ว่าในเรื่องจะไม่ได้มีการอธิบายอย่างชัดเจน
แต่ดูเหมือนเขาจะรู้สึกได้ว่า เร็น ไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุ 17 ปี ทั่วๆไป
แต่เหมือนกับว่าเขากำลังแบกรับภาระที่หนักอึ้งอะไรบางอย่างอยู่
เขาจึงได้คอยให้ความเป็นห่วง ( ผู้รับบท : ซึซึกิ เคย์ )
ตอนที่ 1 "การจู่โจมยามวิกาล - NIGHT RAID -"
ตอนที่ 2 "อสูรต่างมิติ - SPACE BEAST -"
ตอนที่ 3 "มนุษย์ยักษ์ - ULTRAMAN -"
ตอนที่ 4 "มิติย่อย - META FIELD -"
BROB TYPE BEAST PEDOLEON
มันเป็นบีสต์ที่ชอบกินสารเอทานอล และจะคอยจู่โจมตามปั๊มนำมันและโรงงานต่างๆในยามวิกาล
ภายในร่างกายของมันประกอบด้วยอัตราส่วนของน้ำถึง 95 %
ร่างของมันจะมีการวิวัฒนาการและเปลี่ยนร่างได้ 3 ลักษณะดังนี้
PEDOLEON KURAIN
ความสูง : 5 ~ 10 เมตร
น้ำหนัก : น้ำหนักตัวจะแตกต่างกันตามขนาด
ลักษณะพิเศษ : ร่างของมันจะประกอบขึ้นมาด้วยสารเหลวที่มีลักษณะคล้ายเยล
มันจะใช้มือของมันเข้ารัดเหยื่อแล้วลากเข้ามากิน
ถึงแม้ว่ามันจะถูกโจมตี แต่หากยังมีชิ้นส่วนของมันหลงเหลืออยู่แม้เพียงชิ้นเดียว
มันก็จะสามารถคืนชีพกลับมาได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
พร้อมกับมีการพัฒนาระบบป้องกันการจู่โจมไปในตัว
สถานที่กำเนิด : ไม่ปรากฎแน่ชัด
ลักษณะพิเศษ : อุลตร้าแมนในตำนานผู้ปกป้องสันติสุขของอวกาศทั้งปวงมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล
เขาคือร่างดั้งเดิมของ มนุษย์ยักษ์แห่งแสง หรือ อุลตร้าแมน ซึ่งถือกำเนิดจากการรวมกัน
ระหว่าง แสงปริศนาที่ถูกสืบทอดข้ามผ่านเวลาอันยาวนาน กับ ดูนามิสต์
ทั้งยังเป็นร่างขั้นสุดยอดสุดท้าย ( Ultimate Final Style ) อีกด้วย
โดยทั่วร่างของเขาจะมีแสงสีเงินอันเจิดจ้ารายล้อมอยู่รอบตัว
และสามารถเดินทางข้ามมิติเวลาได้ด้วยพลังของ "โนอาห์อีจิส" ซึ่งเป็นปีกตรงกลางหลัง
ที่สามารถยืดหดได้ตามใจชอบ ทั้งยังทำให้บังเกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ดุจดั่งพระเจ้า
เขาได้ต่อสู้เสี่ยงตายกับ มนุษย์ยักษ์แห่งความมืด ดาร์คซากิ ข้ามผ่านมิติกาลเวลา
แล้วหายตัวเข้าไปในอีกมิติหนึ่งพร้อมกับดาร์คซากิ
แต่ทว่า,แสงนั้นได้ถูกสืบทอดไปยังเหล่าดูนามิสต์ที่อยู่บนโลก
ซึ่งในตอนสุดท้ายของซีรีส์อุลตร้าแมนเน็กซัสนั้น
โคมง คาซึกิ ก็สามารถแปลงกายกลับสู่ร่างนี้ได้อีกครั้งอย่างสง่างามในฐานะของดูนามิสท์
และสามารถพิชิต ดาร์คซากิ ลงได้ด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า
ท่าไม้ตาย และ ความสามารถพิเศษ
ไลท์นิ่งโนอาห์ : มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สุดยอดลำแสงอสุนียบาต" ซึ่งเป็นท่าลำแสงไม้ตายสุดยอด
ที่ โนอาห์ จะประกบหมัดซ้ายเข้าที่ข้อมือขวาเพื่อประสานอณูแสงพลาสม่าเอาไว้
ก่อนที่จะปลดปล่อยเป็นลำแสงเจ็ดสีออกมา
ในตอนสุดท้ายของซีรีส์เน็กซัส โนอาห์ ได้ยิงลำแสงนี้ไปปะทะกับ ไลท์นิ่งซากิ
ของ ดาร์คซากิ แล้วผลักมันกลับไปหา ดาร์คซากิ
จนทำลายมันให้สลายเป็นจุลไปในอวกาศได้ในที่สุด
โนอาห์ อินเฟอร์โน่ : ท่าที่ใช้หมัดซึ่งห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ 1 ล้านล้านองศาอัดใส่ศัตรู
ในตอนสุดท้ายของซีรีส์เน็กซัส โนอาห์ ได้ใช้ท่านี้ชกใส่ ดาร์คซากิ จนทำให้มันกระเด็น
ลอยออกไปนอกชั้นบรรยากาศ
โนอาห์สปาร์ค : ดาบแสงที่ใช้ในการสกัดกั้นศัตรูด้วยการปล่อยออกมาจากมือทั้งสองข้างที่สปาร์คกัน
ออกมาพร้อมกันในคราเดียว
โนอาห์ ได้ใช้ท่านี้กับ ดาร์คซากิ จนสามารถทำให้มันได้รับบาดเจ็บได้ในตอนสุดท้าย
กราวิตี้โนอาห์ : ท่าที่ โนอาห์ จะยิงคลื่นแรงโน้มถ่วงสูงออกมาจากหมัดทั้งสองข้าง
เพื่อบดขยี้ศัตรูให้แหลกเป็นผุยผง
ในตอนสุดท้ายของซีรีส์เน็กซัส ดาร์คซากิ ได้แสดงท่า กราวิตี้ซากิ
ซึ่งเหมือนกับท่า กราวิตี้โนอาห์ ออกมาให้พวกเราได้เห็น
ท่านี้มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า "ลำแสงแรงโน้มถ่วงพิฆาต"
โนอาห์ ธันเดอร์โวลท์ : ท่าที่จะปลดปล่อยสายฟ้าออกมาจากปลาย โนอาห์อีจิส ทั้งสองข้างซ้ายขวา
และเมื่อนำมันมาไขว้กันแล้วก็จะสามารถโจมตีด้วยสายฟ้าฟาดอันรุนแรงได้
โนอาห์ บริซาร์ด : ท่าที่จะผนึกศัตรูเอาไว้ในกำแพงน้ำแข็งชั่วนิจนิรันดร์ด้วยพลังพายุหิมะ
ติดลบศูนย์องศาสมบูรณ์
โนอาห์ชู้ต : โนอาห์จะนำมือซ้ายมาประกบกับหมัดขวาเพื่อยิงกระสุนอันทรงพลังออกมา
ไชน์นิ่งโนอาห์ : ท่าที่จะทำให้คู่ต่อสู้สูญสลายไปด้วยแสงสว่างที่ปล่อยออกมาจากทั่วร่าง
โนอาห์เวฟ : ท่าแห่งปาฏิหาริย์ที่ช่วยในการเปิดเผยร่างที่แท้จริงของศัตรูที่ปลอมตัวแอบแฝงมา
และคลายมนต์สะกดให้แก่พรรคพวกได้ด้วยแสงที่ปล่อยออกมาจากมือ
ทั้งยังช่วยในการฟื้นฟูพลังให้กับอีกฝ่ายที่กำลังได้รับบาดเจ็บได้ด้วย
โนอาห์รีเฟลคชั่น : ท่าสะท้อนลำแสงที่คู่ต่อสู้ปล่อยออกมาให้กลับคืนสู่ตัวเอง
โนอาห์กาแลคซี่ : ท่าที่สามารถควบคุมฝูงอุกกาบาตในแถบดาวเคราะห์น้อย
ที่ โนอาห์ เรียกมาด้วยคลื่นชนิดพิเศษ
โนอาห์มิราจ : ท่าที่จะสร้างภาพลวงตาของตัวเองขึ้นมาเพื่อล่อหลอกศัตรู
โนอาห์ธรูอาย : ลำแสงชนิดพิเศษที่จะปล่อยออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
เพื่อทำให้มองเห็นในสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้
โนอาห์ เดอะ ไฟนอล : หนึ่งใน 3 ท่าสุดยอดของโนอาห์ซึ่งเป็นท่าไม้ตายสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
โดยจะเป็นการผนึกคู่ต่อสู้เอาไว้ในช่องว่างระหว่างมิติด้วยการแลกกับพลังงาน
ทั้งหมดของตน
ในนิตยสาร โนอาห์ ได้ใช้ท่านี้ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับ ดาร์คซากิ
จนทำให้ตนกับ ดาร์คซากิ ข้ามทะลุมิติจากโลกของเนบิวล่า M78
กลับมายังโลกของอุลตร้าแมนเน็กซัสอีกครั้ง
ดิเมนชั่นโนอาห์ : หนึ่งใน 3 ท่าสุดยอดของโนอาห์ซึ่งเป็นการใช้พลัง Dimensional Energy
ที่ปล่อยออกมาจาก โนอาห์อีจิส ในการเดินทางข้ามมิติกาลเวลาได้
ด้วยพลังความสามารถนี้เองจึงทำให้ โนอาห์ สามารถไปปรากฎในโลกของอุลตร้าแมน
ซึ่งอยู่ในมิติอื่นๆได้ทุกมิติ
อัลติเมทโนอาห์ : หนึ่งใน 3 ท่าสุดยอดของโนอาห์ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการปลดปล่อยพลังงานขั้นสุดยอด
( Ultimate Energy ) อันมหาศาลที่ถูกสะกดเอาไว้ใน โนอาห์อีจิส ออกมา
แต่ไม่ปรากฎประวัติว่า โนอาห์ เคยใช้มาก่อน จึงยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน
อนึ่ง,ในบรรดาท่าไม้ตายเหล่านี้ นอกเหนือไปจากท่าที่จำเป็นต้องใช้ "โนอาห์อีจิส" แล้ว
ดาร์คซากิ เองก็สามารถใช้ท่าต่างๆเหล่านี้ได้เช่นกัน
( เพราะ ดาร์คซากิ ไม่มีอุปกรณ์เหมือนกับ "โนอาห์อีจิส" )
ฮิเมยะ จุน : ชายหนุ่มวัย 27 ปี ผู้ได้รับเลือกจาก อุลตร้าแมนเน็กซัส ให้เป็น ดูนามิสต์
หรือ ผู้ที่มีความสามารถเหมาะสมเป็นคนที่ 2
เขาเคยเป็นอดีตตากล้องของสำนักงานข่าวที่ถูกลูกหลงของสงครามจนได้รับบาดเจ็บในขณะที่
เขากำลังไปถ่ายทำข่าวในสนามรบ และได้รับการช่วยเหลือจากเด็กผู้หญิงในท้องถิ่นที่ชื่อ เซร่า
ในระหว่างที่เขาอาศัยอยู่กับเธอซึ่งเป็นเด็กกำพร้า เขาก็เห็นเธอเปรียบเสมือนกับเป็นน้องสาว
ทว่า,เมื่อมีสงครามระลอกใหม่เกิดขึ้น ฮิเมยะ ก็วิ่งเข้าไปในสมรภูมิรบเพื่อไปเก็บภาพอีกครั้ง
โดยไม่สนใจการห้ามปรามของเซร่า
ในขณะที่เขากำลังเก็บภาพของเหล่าผู้คนที่ล้มตายอยู่นั้นเอง
เซร่าที่วิ่งตามเขามาด้วยความเป็นห่วงก็โดนระเบิดจนเสียชีวิตต่อหน้าเขา
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาเกิดแผลลึกทางใจ
หลังจากนั้นเขาจึงใช้ชีวิตพเนจรไปทั่วโลกโดยไร้จุดมุ่งหมาย
แต่เขาก็จะฝันเห็น เซร่า อยู่ทุกค่ำคืน
ซึ่งในฝันนั้นเธอจะชี้นำทางให้เขาเข้าไปภายในซากโบราณปริศนา จนเขาได้ไปสัมผัสกับ
สโตนฟลูเกล และได้รับสืบทอดแสงมา จนสามารถแปลงร่างเป็น อุลตร้าแมนเน็กซัส ได้
แต่เขาก็มักจะกลัดกลุ้มอยู่เสมอว่าทำไมเขาจึงได้กลายเป็นผู้สืบทอดแห่งแสง
และคิดว่าการต่อสู้ในฐานะ อุลตร้าแมน จนตัวเองได้รับบาดเจ็บนั้น
คือ บาปที่เขาไม่สามารถช่วยเซร่าและผู้คนที่ล้มตายลงไปได้
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องชดใช้ แต่หลังจากผ่านการต่อสู้อันแสนดุเดือดกับพวกบีสต์ ,
ดาร์คเฟาสท์ และ ดาร์คเมฟิสท์ แล้ว เขาก็ได้พบกับความหมายที่แท้จริงของพลังแห่ง
อุลตร้าแมนที่ได้รับสืบทอดมา ในระหว่างที่กำลังต่อสู้กับ ดาร์คเมฟิสท์ เป็นครั้งสุดท้าย
เขาได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้มาอย่างต่อเนื่อง
จนไม่สามารถต่อสู้กับ กอลโกเล็ม ได้อย่างจริงๆจังๆ
และในตอนที่สู้กับ คุโทล่า ในตอนที่ 23 เขาก็ถูกจับตรึงกางเขนเอาไว้
แต่ทีม Night Raider ก็มาช่วยให้เขาฟื้นตัวกลับมาได้อีกครั้ง
หลังจากนั้น ฮิเมยะ จึงได้เปิดฉากต่อสู้กับ ดาร์คเมฟิสท์ อย่างเอาเป็นเอาตาย
และหายสาปสูญไปพร้อมกับ มิโซโรงิ ท่ามกลางเปลวเพลิงจากการระเบิด
ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องลาจากกับ เน็กซัส
หลังจากที่ ฮิเมยะ หายสาปสูญไปนาน แต่แล้วเขาก็ได้ปรากฎตัวให้เราเห็นอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนสุดท้ายเพื่อคอยเป็นกำลังใจให้กับ โคมง ที่กำลังต่อสู้อยู่กับ ดาร์คซากิ
อันที่จริงทางผู้เขียนบทได้มีการกำหนดพล็อตเรื่องเบื้องหลังเอาไว้ด้วยว่า
ในช่วงที่ ฮิเมยะ ออกพเนจรอยู่นั้น เขาได้บังเอิญไปพบกับ เซ็นจุ เร็น ที่อเมริกา
และสัมผัสถึงความโดดเดี่ยวเดียวดายที่เหมือนกับตนเอง
ในตัวของเด็กหนุ่มคนนี้โดยที่เขาไม่รู้ตัว
ซึ่งนั่นเป็นการพบกับ เร็น เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเขา
แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง ฮิเมยะ ก็ได้เลือกให้ เร็น เป็นดูนามิสต์คนต่อไปโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
( ผู้รับบท : คิริชิมะ ยูสุเกะ )
เซ็นจุ เร็น : ดูนามิสต์ คนที่ 3 ที่ปรากฎตัวต่อจาก ฮิเมยะ ที่หายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี ที่มีอุปนิสัยร่าเริงและมีอัธยาศัยดี
ซึ่งไปเติบโตที่ เมืองดัลลัส ประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่กลับหนีมาอาศัยอยู่ที่ฉากหลังของสวนสนุกและทำงานพิเศษอยู่ที่นั่น
เขาเป็นผู้รับช่วงสืบทอดแสงและได้ต่อสู้ในฐานะของ อุลตร้าแมนเน็กซัส คนใหม่
แม้ว่าเขาจะมีความกล้าหาญอยู่เต็มเปี่ยม และเข้าต่อสู้กับศัตรูอย่างเต็มกำลังทุกครั้ง
แต่เขามักจะฝืนตัวเองเกินไป ซึ่งนั่นมีต้นสายปลายเหตุมาจากความคิดของเขาที่ว่า
ชีวิตของตนเองจะดับสูญลงไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
จึงทำให้เขาพร้อมที่จะสละชีวิตของตัวเองได้ทุกเมื่อ
เขาคือหนึ่งในเหล่า "บุตรแห่งโพรเมเท" ซึ่งเป็นทารกลูกผสมที่ถือกำเนิดจากการนำเอาเฉพาะ
DNA ที่เยี่ยมยอดมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ตามโครงการ "Prometheus Project"
ของหน่วยงานลับสุดยอด "อาคาเดมี่" ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัด TLT สำนักงานใหญ่อเมริกาเหนือ
ทว่า, เร็น มีความบกพร่องทางพันธุกรรมที่ทำให้เขาถึงแก่ชีวิตได้
นั่นคือเซลล์ภายในร่างกายของเขาจะเกิดกระบวนการอะพอพโทซิส
( การตายของเซลล์ในรูปแบบหนึ่ง ) ขึ้นในช่วงระหว่างวัย 16 ถึง 17 ปี
จนทำให้เขาถึงขั้นเสียชีวิต
ซึ่งถ้าหากไม่มียาวิเศษ "ราฟาเอล" ก็จะไม่สามารถรักษาหายได้
ดังนั้นเขาจึงเหลืออายุขัยอยู่ไม่มากนัก
สุดท้ายเขาได้ค้นพบความหมายของการมีชีวิตจากคำพูดของนางิ
และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงได้เลือกเธอให้เป็นดูนามิสต์คนต่อไป
โดยหลังจากที่เขากำจัด อิซมาเอล ลงได้ในตอนที่ 36 แล้ว เขาก็แยกตัวจากเน็กซัสไป
หลังจากนั้นเขาก็ถูกส่งตัวไปเข้าโรงพยาบาลซึ่งมียาราฟาเอลที่เหล่า "บุตรแห่งโพรเมเท"
คนอื่นๆที่เปรียบเสมือนกับพี่น้องและเพื่อนๆของเร็น กับ ไคโมโตะ ฮายาโตะ คิดค้นขึ้นรออยู่
เขาได้ออกมาปรากฎตัวในตอนสุดท้ายอีกครั้งเพื่อคอยเป็นกำลังใจให้กับ โคมง ที่กำลังต่อสู้กับ
ดาร์คซากิ เช่นเดียวกับฮิเมยะ ( ผู้รับบท : อุจิยามะ มาซาโตะ )
องค์กรพิทักษ์โลก
องค์กรปลดแอกโลก TLT ( Terrestrial Liberation Trust )
องค์กรป้องกันพิเศษระดับโลกที่ไม่เปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณชนเพื่อปฏิบัติภารกิจขับไล่ สเปซบีสต์ ที่เป็นภัยคุกคามมนุษยชาติอย่างเป็นความลับสุดยอด โดยมีเป้าหมายหลักคือการตรวจสอบค้นหาและกวาดล้างเหล่าสเปซบีสต์ ซึ่งมีศูนย์บัญชาการใหญ่อยู่ที่อเมริกาเหนือ
ฐานทัพ ฟอร์เทรสฟรีด้อม สาขาที่ 3 ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานทัพของ "TLT-J" ที่องค์กร TLT มาก่อตั้งอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น มีฐานที่ตั้งมั่นอยู่ที่ก้นทะเลสาปของเขื่อนที่อยู่ในหุบเขาลึกในแถบคันโต ที่ฐานทัพแห่งนี้จะมีเจ้าหน้าที่อยู่ 515 นาย และจะมีผู้บัญชาการอยู่ 3 คน คือ โทโก , โซมะ และ โคยานางิ ซึ่งมีอำนาจผูกขาดในการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับ บีสต์ ในเขตพื้นที่คันโต
สมาชิกหน่วย
คิราซาวะ ยู : เสนาธิการฝ่ายวางแผนของ TLT-J ผู้มีความสามารถพิเศษที่ผู้คนเรียกว่า "Illustrator"
สมญานี้ได้มาจากการที่เขาวาดภาพอนาคตที่เขาหยั่งรู้ล่วงหน้าได้ในช่วงแรกๆ
ที่ความสามารถพิเศษของเขาตื่นขึ้นมาในฐานะของ Contacty ( ผู้ติดต่อ )
เขาสามารถสัมผัสถึง พวกบีสต์ และ อุลตร้าแมน ได้
และมักจะปรากฎตัวต่อหน้าทีม Night Raider ด้วยภาพ 3 มิติ เพื่อคอยสั่งการพวกเขา
เขาเป็นหนึ่งใน บุตรแห่งโพรเมเท เช่นเดียวกับ เซ็นจุ เร็น ดูนามิสต์คนที่ 3
แถมตอนที่อยู่ในหอพักของสถาบัน
เขายังเป็นเพื่อนร่วมห้องเดียวกันกับ เร็น อยู่ประมาณเดือนนึง
( ผู้รับบท : ทานากะ โนบุฮิโกะ )
มัตซึนางะ โยอิจิโร่ : หัวหน้าผู้ดูแลองค์กร TLT-J ซึ่งเคยสังกัดอยู่ภายในหน่วยตรวจสอบข้อมูล
ของคณะรัฐมนตรี
เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วเขาจะเป็นคนที่ดูสุขุมมาดนิ่ง
แต่เพื่อเป้าหมายแล้วเขาจะไม่เลือกวิธีการใดๆทั้งสิ้น
ดังจะเห็นได้จากตอนที่เขาจับกุมตัว ฮิเมยะ จุน กับ เซ็นจุ เร็น
ที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้จนขยับไปไหนไม่ได้
แล้วนำไปทดสอบร่างกายเพื่อค้นหาความลับแห่งขุมพลังของอุลตร้าแมน
แต่สาเหตุที่เขาต้องทำเช่นนั้นก็เพราะว่าเขาต้องการที่จะปกป้องมนุษยชาติจากใจจริง
ด้วยเหตุที่เขายังคงรู้สึกเสียใจกับการจากไปของภรรยา
ในเหตุภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่ชินจูกุเมื่อ 5 ปีก่อน
หลังจากนั้นเขาจึงต้องใช้ชีวิตอยู่กับ ฮาซึกิ ลูกสาวซึ่งเป็นเด็กนักเรียน ม.ปลาย
เพียงแค่สองคนพ่อลูก แต่เขามักจะติดภารกิจจนไม่ค่อยได้กลับบ้านสักเท่าไรนัก
( ผู้รับบท : โฮริอุจิ มาซามิ )
มิซึฮาระ ซาระ : เธอคือผู้ที่เคยร่วมงานกับ มาคิ ชุนอิจิ ดูนามิสต์คนแรก ในภาคหนังโรง ULTRAMAN
และเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ Prometheus Project เพื่อพยายามที่จะให้กำเนิด
ผู้มีความสามารถพิเศษขึ้นมาแทนที่ ไคโมโตะ ฮายาโตะ
เพื่อเตรียมเอาไว้รับมือกับเหล่าบีสต์ที่จะปรากฎตัวขึ้นในอนาคตอีกครั้ง
แต่เนื่องจากเธอเล็งเห็นว่ามาตรการรับมือกับพวกบีสต์จะต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก
เธอจึงออกคำสั่งระงับการพัฒนา ราฟาเอล เอาไว้ชั่วคราว
แม้ว่าเธออาจจะดูเป็นคนเลือดเย็นที่ยอมตัดหางปล่อยวัดคนอื่นได้เพื่อภารกิจและเป้าหมาย
แต่ที่จริงแล้วอีกด้านหนึ่งเธอก็เป็นห่วงพวกเร็นและเป็นผู้ที่ปฏิเสธความคิดของนางิ
ที่ว่า "ความเกลียดชังนั่นแหละคือพลัง" เช่นกัน ( ผู้รับบท : โทยามะ เคียวโกะ )
ไคโมโตะ ฮายาโตะ : ลูกน้องที่ขึ้นตรงกับ มิซึฮาระ ซาระ ซึ่งอยู่ในสังกัด TLT สาขาอเมริกาเหนือ
เขาดูจะเป็นคนที่สุขุมและไม่ช่างพูด แต่ที่จริงแล้วเขาก็คือผู้ที่เป็นห่วงเร็น
และคอยเฝ้าดูเขาห่างๆอยู่ในเงามืดมาตลอด
เขาคือผู้มีความสามารถพิเศษที่จัดอยู่ในระดับ A
ซึ่งสามารถติดต่อกับผู้มาเยือนได้ตั้งแต่เด็ก
และเป็นคนเดียวที่มี DNA ซึ่งถือเป็น DNA ต้นกำเนิดเหล่า "บุตรแห่งโพรเมเท"
ในโครงการ "Prometheus Project" ( ผู้รับบท : คิตาโอกะ ริวคิ )
ไวท์ สวีปเปอร์ : ทีมพิเศษที่จะสวมใส่ชุดโพรเทคยูนิฟอร์มสีขาวซึ่งมีหน้าที่ในการเก็บเศษซากที่เหลือ
อาทิเช่น ซากเซลล์ของบีสต์ที่หลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุ เพื่อนำไปทำลาย
Night Raider
ทีมปฏิบัติการพิเศษของ TLT-J ที่จัดตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ในการกวาดล้างบีสต์ ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "ทีมปฏิบัติการรบพิเศษ TLT-J" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "Night Raider" ภารกิจหลักของทีมนี้คือการทำลายสเปซบีสต์ให้สูญสิ้นอย่างเป็นความลับสุดยอด หน่วยงานนี้ถือเป็นแหล่งรวมเจ้าหน้าที่ชั้นนำของ TLT มาอยู่ด้วยกัน ซึ่ง โคมง คาซึกิ เองจะสังกัดอยู่ใน "ทีม Night Raider หน่วย A"
นอกจากหน่วย A แล้วดูเหมือนว่ายังมีทีมอื่นๆอีกหลายหน่วย แต่ไม่ได้มีการปรากฎตัวในเรื่อง เพียงแต่มีการกล่าวถึงในตอนที่ 18 และตอนสุดท้ายที่มีกองยาน Chrome Chester มาปรากฎหลายลำเท่านั้น
สมาชิกหน่วย
วาคุระ เอย์สุเกะ : หัวหน้าทีม Night Raider หน่วย A ผู้มีความรับผิดชอบในหน้าที่สูง
และสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างสุขุมเยือกเย็น
เขาไม่เพียงแต่จะเป็นคนที่ซื่อตรงต่อหน้าที่การงานเท่านั้น
แต่เขายังเป็นหัวหน้าที่ใจดีผู้คอยดูแลลูกน้องอย่าง โคมง ที่มีเรื่องกลุ้มใจอยู่เสมอ
หลังจากที่ ดาร์คซากิ ได้เผยโฉมออกมา เขาต้องขับยาน โครมเชสเตอร์ δ ( เดลต้า )
ออกไปต่อสู้เพียงลำพัง เพราะ ชิโอริ ได้รับบาดเจ็บหนัก
ส่วน โคมง กับ นางิ ก็ติดอยู่ในเลอเต้
โดยในจังหวะที่ยานของเขากำลังจะตกลงสู่พื้นนั้นเอง
โคมง ที่แปลงร่างเป็น เน็กซัส ก็มาช่วยเขาเอาไว้ได้ทันท่วงที
ซึ่งตอนนั้นนั่นเองที่เขารู้สึกได้ว่า โคมง ก็คือ เน็กซัส โดยที่ไม่มีเหตุผล
( ผู้รับบท : อิชิบาชิ ทาโมสึ )
ไซโจ นางิ : รองหัวหน้าทีม Night Raider หน่วย A อายุ 27 ปี
ในตอนที่เธอยังเป็นเด็ก พ่อแม่ของเธอได้ถูกฆาตกรรมด้วยฝีมือของใครบางคน
และเมื่อ มิโซโรงิ ชินยะ ผู้ที่เธอให้ความเคารพในฐานะของผู้บังคับบัญชา
และเป็นคนที่เธอหลงรักได้กลายเป็น มนุษย์ยักษ์แห่งความมืด "ดาร์คเมฟิสท์"
ผู้ควบคุมเหล่าบีสต์ไป เธอเลยรู้สึกจงเกลียดจงชังทั้ง มิโซโรงิ และ บีสต์
ดังนั้นเธอจึงมักจะแสดงคำพูดหรือพฤติกรรมที่ค่อนข้างจะรุนแรง
เช่น การให้ความสำคัญในการกำจัดบีสต์มากกว่าการปกป้องผู้คน เป็นต้น
ตอนแรกเธอเห็นว่า ฮิเมยะ จุน เป็นศัตรูเพราะเขาสามารถสัมผัสถึงพวกบีสต์ได้
และต้องทะเลาะกับ โคมง เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อได้เห็นถึงการกระทำของเขา
ที่พยายามจะปกป้องมนุษย์จากการคุกคามของบีสต์แล้ว เธอจึงค่อยๆเริ่มเข้าใจในตัวเขามากขึ้น
เรื่อยๆ แม้ว่าเธอจะเคยมีใจให้กับ มิโซโรงิ มาก่อน แต่สำหรับ มิโซโรงิ เองแล้วเขาก็แค่นับถือ
และชอบเธอในฐานะที่เป็นนักรบเท่านั้น
ในฐานะนักรบแล้วเธอถือเป็นผู้มีความสามารถเป็นอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากตอนที่ 24
ที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆถูก มิโซโรงิ เล่นงาน แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่สามารถต้าน มิโซโรงิ เอาไว้ได้
หรืออย่างในตอนที่ เร็น ต่อสู้โดยที่ไม่สนใจว่าตัวเองจะได้รับบาดเจ็บหรือจะตายยังไงก็ช่าง
เธอก็เป็นคนที่สัมผัสถึงเรื่องนี้ได้ก่อนใคร
ในช่วงสุดท้ายเธอได้กลายเป็น ดูนามิสต์ คนที่ 4 ผู้รับช่วงสืบทอดแสงต่อจากเร็น
ซึ่ง ดาร์คซากิ ได้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าภายหลังเธอจะต้องได้เป็นดูนามิสต์
ดังนั้นมันจึงได้วางแผนสังหารครอบครัวของเธอ และทำให้ มิโซโรงิ หักหลังพรรคพวก
เพื่อปลูกฝังความเกลียดชังเอาไว้ภายในจิตใจของเธอให้เต็มเปี่ยม
จนเมื่อ ดาร์คซากิ เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา เธอจึงแปลงร่างโดยระเบิดความโกรธออกมา
อย่างเต็มที่ เลยทำให้พลังงานแสงถูกเปลี่ยนเป็นพลังความมืด
แล้วโดน ดาร์คซากิ ช่วงชิงเอาไปจนหมด จนตัวเธอเองต้องถูกขังอยู่ท่ามกลางความมืด
ที่ เลอเต้ ปลดปล่อยออกมา แต่ โคมง ก็มาช่วยเธอเอาไว้ได้
เธอจึงได้เลือกให้เขาเป็นดูนามิสต์คนต่อไป
โดยที่ตัวเธอเองเป็นดูนามิสต์เพียงคนเดียวที่ไม่ได้แปลงเป็นจูเนสโหมด
( ผู้รับบท : ซาโต้ ยาสึเอะ )
ฮิราคิ ชิโอริ : เจ้าหน้าที่ในทีม Night Raider หน่วย A
อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีฝีมือในการยิงปืนไม่เป็นรองใคร
เธอเป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใสอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้บรรยากาศในทีมไม่ดูอึมครึมจนเกินไป
สิ่งที่เธอรังเกียจก็คือคนขี้เมา
หลังจาก Episode EX แล้ว เธอก็เริ่มคบหากับ อิชิโบริ จนสนิทสนมกัน
และเปลี่ยนไปเรียกชื่อเขาว่า "อิชชี่" แทน แต่เธอกลับต้องถูกเขายิงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในตอนสุดท้าย แต่ก็รักษาตัวกลับมาได้ในการต่อสู้ช่วงสุดท้าย
ในช่วงแรกเธอได้ทำหน้าที่เป็นครูฝึกซ้อมการรบให้กับ โคมง ด้วย ( ผู้รับบท : โกโต้ เคย์โกะ )
อิชิโบริ มิตซึฮิโกะ : เจ้าหน้าที่ในทีม Night Raider หน่วย A ผู้มีหน้าที่ในการวิเคราะห์ข้อมูล
เขาเป็นคนที่มีความสามารถแต่มักจะปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง
โดยที่ไม่ออกหน้าออกตามากจนเกินไป
อีกทั้งยังเป็น แฮ็กเกอร์ ( นักล้วงข้อมูล ) ที่สามารถแฮ็กข้อมูลได้
เหนือชั้นกว่าแฮ็กเกอร์ทั่วไป
โดยเขาได้แสดงฝีมือให้เห็นจากการสืบหาความจริง
ของ "ภัยพิบัติครั้งใหญ่ในชินจูกุ" เมื่อ 5 ปีก่อนซึ่งถูกปิดบังเอาไว้มาได้
เขาเปรียบเสมือนพี่ชายของ โคมง ที่สามารถพูดจาหยอกล้อกันได้
แต่ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คือ Unknown Hand หรือก็คือ ดาร์คซากิ ที่มาเข้าสิงร่าง
ของ ยามาโอกะ ฮาจิเมะ หนึ่งในนักวิจัยของทีมวิจัยผู้มาเยือนเมื่อ 18 ปีก่อน
ซึ่งเป็นผู้บงการ มิโซโรงิ ชินยะ และ ไซดะ ริโกะ อยู่ในเงามืด
เพื่อให้ตนได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในฐานะของ ดาร์คซากิ ซึ่งเป็นร่างเดิมของมันอีกครั้ง
ในตอนสุดท้ายเขาได้เปิดเผยกับนางิว่าเขาคือคนที่สังหารพ่อแม่ของเธอ
เพื่อยั่วยุให้เธอแปลงร่างด้วยความแค้นแล้วอาศัยจังหวะนั้นในการแปลงพลังงานแสง
ให้กลายเป็นพลังงานด้านมืด เพื่อตนจะได้ดูดกลืนพลังงานนั้นแล้วคืนชีพกลับไป
เป็น ดาร์คซากิ อีกครั้ง เนื่องจากเขาได้มอบพลังในการควบคุมเหล่าบีสต์ไปให้ มิโซโรงิ
กับ ริโกะ จึงทำให้ตัวของเขาเองไม่สามารถที่จะควบคุมพวกมันได้
จนเกือบจะถูกพวกมันทำร้ายเอาเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เขาสามารถปกปิดตัวตนที่แท้จริงมาได้จนถึงวินาทีสุดท้าย
โดยที่ความไม่แตก
แม้จะอยู่ในร่างของ อิชิโบริ แต่มันก็สามารถใช้มือเปล่ายิงคลื่นอัดกระแทก
หรือกระสุนแสงออกมาป้องกันตัวได้ ( ผู้รับบท : คาโต้ โคเซย์ )
โคมง คาซึกิ : อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยของกรมตำรวจ
ซึ่งถูกหน่วยงานป้องกันพิเศษ TLT ดึงตัวให้มาเข้าสังกัดหน่วย Night Raider
ซึ่งเป็นทีมชั้นนำขององค์กร
เขาเป็นชายหนุ่มวัย 24 ปี ที่มองโลกในแง่ดีและมีจิตใจอันอ่อนโยน
เนื่องจากตอนที่เขายังเด็ก เขาเคยได้รับการช่วยเหลือ
ในขณะที่เขากำลังจะจมน้ำพร้อมกับคำพูดที่ว่า "อย่าเพิ่งหมดหวังสิ"
นั่นจึงเป็นตัวจุดประกายให้เขามีความยึดมั่นที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอย่างแรงกล้า
ดังนั้นเขาจึงมีการทะเลาะกับ ไซโจ นางิ ที่ให้ความสำคัญในการกำจัดบีสต์มาก่อน
การช่วยเหลือชีวิตคนอยู่บ่อยครั้ง แต่พอผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน
เธอก็กลายเป็นผู้ร่วมงานที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจได้
ตอนแรก โคมง นึกว่าคำพูดว่า "อย่าเพิ่งหมดหวังสิ" ที่เขาได้ยินนั้น
เป็นเสียงของมนุษย์ต่างดาว แต่ความจริงแล้วในตอนสุดท้ายที่ โคมง ยื่นมือออกไปช่วย นางิ
ใน เลอเต้ นั้นเอง คือ มือที่เอื้อมไปช่วยโคมงในตอนเด็กเอาไว้
ด้วยสาเหตุจากความคลาดเคลื่อนของเส้นแกนเวลาที่เกิดขึ้น
เพราะพลังงานแรงสูงภายในเลอเต้
ในขณะที่เขากำลังปฏิบัติภารกิจพิเศษในทีม Night Raider อยู่นั้น
บางครั้งเขาก็รู้สึกเจ็บปวดทรมานใจและต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป
แต่เขาก็ได้รับคำชี้แนะจาก ฮิเมยะ จุน
( หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อุลตร้าแมน มนุษย์ยักษ์แห่งแสง )
จนสามารถขจัดด้านมืดภายในจิตใจของตน และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในระหว่างการต่อสู้
ตอนแรกเขาถูกวางตัวให้เป็นพระเอกของเรื่องที่แปลงร่างเป็นอุลตร้าแมนไม่ได้
ซึ่งเป็นพล็อตเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในตอนสุดท้ายเขาก็กลายเป็นผู้รับช่วงสืบทอดแสง
ในฐานะดูนามิสต์คนที่ 5 และเกิดการวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายจนกลายเป็น อุลตร้าแมนโนอาห์
และกำจัด ดาร์คซากิ ที่เป็นต้นตอของความชั่วร้ายทั้งปวงลงได้เป็นผลสำเร็จ
( ผู้รับบท : คาวาคุโบะ ทาคุจิ )
Memory Police
หนึ่งในทีม TLT-J ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อปกปิดคดีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบีสต์ไม่ให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้ โดยมี ชุโต้ ซายะ เป็นหัวหน้าทีม พวกเธอจะทำหน้าที่พิทักษ์พยานผู้พบเห็น บีสต์ กับ อุลตร้าแมน แล้วจะลบความทรงจำนั้นออกไปด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า "เมโมเรเซอร์" โดยยึดหลักว่า "ความไม่รู้ก็ถือเป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งของผู้คนในสังคมนี้ซึ่งต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการรักษาวิถีทางสังคมมาก่อน" และเพื่อป้องกันไม่ให้ สเปซบีสต์ ที่กินความหวาดกลัวเป็นอาหารถือกำเนิดขึ้นมา นี่จึงเป็นเหตุผลที่จำเป็นต้องก่อตั้งทีมนี้ ทว่า,ความทรงจำของผู้คนที่เคยถูกอุลตร้าแมนช่วยเอาไว้ก็จะถูกลบออกไปพร้อมกับเรื่องของบีสต์ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็เท่ากับเป็นการทำลายสายใยระหว่าง มนุษย์ กับ อุลตร้าแมน ลงไปด้วย
ชุโต้ ซายะ : หัวหน้าหน่วย Memory Police ซึ่งมีหน้าที่ในการลบความทรงจำของผู้คนที่เคยพบเห็นบีสต์
ดูเหมือนว่าที่จริงแล้วตัวเธอเองก็รู้สึกยอมรับกับภารกิจนี้ไม่ได้เช่นกัน
ในตอนสุดท้ายเมื่อเธอได้เห็นผู้คนคอยเชียร์เป็นกำลังใจให้อุลตร้าแมนแล้ว
เธอก็รู้สึกโล่งใจและเลือกที่จะไม่ใช้ Memoraser ( อุปกรณ์ลบความทรงจำ )
( ผู้รับบท : ฮิดากะ ฮิโตมิ )
โนโนมิยะ มิซึโอะ : หนึ่งในเจ้าหน้าที่หน่วย Memory Police
ผู้ทำหน้าที่คอยสังเกตดูพฤติกรรมของ เซ็นจุ เร็น ดูนามิสต์คนที่ 3
ตามคำสั่งของมัตซึนางะ โดยที่ไม่รู้ว่าตัวจริงของเขาคือใคร
ตอนแรกเธอได้เข้าไปใกล้ชิดกับ เร็น เพราะหน้าที่
แต่หลังจากนั้นเธอก็ค่อยๆรู้สึกหลงรักเขามากขึ้นทีละนิด
จริงๆแล้วภายในใจของเธอก็มีความรู้สึกขัดแย้งต่อภารกิจของตัวเอง
ดังนั้นหลังจากที่เธอลบความทรงจำของเป้าหมายแล้ว
เธอจึงมักจะภาวนาให้พวกเขาไม่ต้องผจญกับฝันร้ายอีกเป็นครั้งที่สอง
เธอเป็นลูกคุณหนูที่ถูกทางบ้านซึ่งเป็นตระกูลนักรบในสมัยโบราณอบรมสั่งสอน
มาเป็นอย่างดี และเธอก็ถนัดทางด้านวิชาการต่อสู้ผิดกับที่เห็นจากภายนอกอีกด้วย
( ผู้รับบท : มิยาชิตะ โทโมมิ )
มิซาวะ ฮิโรยูกิ : เจ้าหน้าที่หน่วย Memory Police ซึ่งถูก Unknown Hand ควบคุมร่างเอาไว้
ในขณะที่เขากำลังตามล่าตัว มิโซโรงิ ที่หลบหนีไป
จนกลายเป็น มนุษย์ยักษ์แห่งความมืดคนที่ 3 "ดาร์คเมฟิสท์ สเวย์"
ถึงแม้ว่ามันจะเล่นงาน มิโซโรงิ ที่แปลงร่างเป็น ดาร์คเมฟิสท์ จนบาดเจ็บสาหัสได้
แต่สุดท้าย ดาร์คเมฟิสท์ ก็สามารถตรึงร่างของมันเอาไว้
เพื่อให้ อุลตร้าแมนเน็กซัส จูเนสบลู ยิง แอโร่ว์เรย์ สตรอม กำจัดมันไปพร้อมกับเขา
( ผู้รับบท : ทาเคอุจิ โยชิโตะ )
ตัวละครอื่นๆ
ไซดะ ริโกะ : คนรักของ โคมง คาซึกิ
หลังจากที่เธอเจอกับ โคมง เมื่อครึ่งปีก่อน ก่อนที่ละครจะเริ่มดำเนินเรื่อง
เธอและครอบครัวได้ถูก บีสต์ ( มิโซโรงิ ) สังหาร และกลายเป็นหุ่นเชิด ( ดาร์คเฟาสท์ )
ให้กับ มิโซโรงิ ที่ตกเป็นหุ่นเชิดของ Unknown Hand อีกทีหนึ่ง
สุดท้ายเธอได้สติคืนมาอีกครั้งแล้วช่วยปกป้อง โคมง จากการโจมตีของสเปซบีสต์
จนเธอได้สลายกลายเป็นแสงไปภายในอ้อมแขนของโคมง ( ผู้รับบท : นากามารุ ชิอง )
มิโซโรงิ ชินยะ : อดีตรองหัวหน้าทีม Night Raider หน่วย A ผู้ใช้ ดาร์คอีโวลเวอร์ ในการแปลงร่างเป็น
มนุษย์ยักษ์แห่งความมืด ดาร์คเมฟิสท์
เขาได้เปลี่ยนจิตใจที่หวาดกลัวต่อบีสต์ของตนให้กลายเป็นความปรารถนาต่อพลัง
จนยอมมอบจิตใจด้านมืดนั้นให้เป็นพลังของ ดาร์คเมฟิสท์ เพื่อรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
เขารู้สึกสนุกกับการได้สัมผัสถึงความรู้สึกด้านลบ อย่าง ความโกรธแค้น , ความหวาดกลัว
หรือ ความเศร้าโศกของมนุษย์ และต้องการจะพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น จึงได้ใช้บีสต์ในการเปิดฉาก "เดธเกมส์"
เดิมทีเขาก็มีความสามารถมากพอที่จะเอาชนะทุกคนในทีม Night Raider
ยกเว้น นางิ ได้อยู่แล้ว
อย่างในตอนที่เขาถูก TLT จับกุมตัว เขาก็สามารถใช้วิชาการต่อสู้ล้มเจ้าหน้าที่ได้หลายนาย
ก่อนที่จะหลบหนีไปได้เช่นกัน เขาจะคอยใช้ความสามารถพิเศษและอุบายต่างๆในการทำให้
โคมง ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่เพราะความเชื่อมั่นในพลังของตนมากเกินไป
เลยกลับส่งผลให้ โคมง มีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น
ในตอนที่ 24 เขาได้พ่ายแพ้ให้กับ เน็กซัส และหายสาปสูญไปพร้อมกับ ฮิเมยะ
แต่เขาก็กลับมาปรากฎตัวอีกครั้งในสภาพที่สูญเสียความทรงจำ และถูก TLT ควบคุมตัวไว้
หลังจากที่เขาได้ความทรงจำกลับคืนมา
และรู้ว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในหุ่นเชิดของ Unknown Hand
เขาจึงแปลงร่างเป็น ดาร์คเมฟิสท์ เพื่อเข้าต่อสู้กับ ดาร์คเมฟิสท์ สเวย์ และยอมสละชีวิต
ของตัวเองไปพร้อมกับมัน ( ผู้รับบท : ชุนโด มิตซึโทชิ )
เซร่า : เด็กกำพร้าที่ ฮิเมยะ ได้ไปพบที่ประเทศแห่งหนึ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระหว่างสงคราม
เธอคือผู้ที่ช่วย ฮิเมยะ เอาไว้ในขณะที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และชื่นชมเขาเป็นเหมือนพี่ชาย
แต่สุดท้าย เซร่า ที่รู้สึกเป็นห่วง ฮิเมยะ และวิ่งตามเขาเข้าไปในสนามรบ
กลับถูกระเบิดตายไปต่อหน้าต่อตาฮิเมยะ เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นบาดแผลลึกในใจของฮิเมยะ
หลังจากนั้นเขาก็จะเห็นเธอเป็นผู้คอยชี้นำทางเขาไปหาแสงแห่งอุลตร้าแมนในฝันมาตลอด
( ผู้รับบท : ทานากะ ไม )
เนโกโระ จินโซ : นักข่าวอิสระที่รู้จักกับฮิเมยะ แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ชอบทำอะไรบุ่มบ่าม
แต่เขาก็ถือเป็นผู้ที่เข้าใจในตัวของ ฮิเมยะ เป็นอย่างดีอีกคนหนึ่ง
ด้วยลางสังหรณ์ของนักข่าว เขาจึงได้ล่วงรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของ บีสต์ กับ องค์กร TLT
และพยายามจะสืบหาความจริง แต่ว่าเขาก็ถูกจับตัวได้ในตอนที่ 25
และโดนลบความทรงจำที่เกี่ยวกับ บีสต์ และ TLT ไปจนหมดสิ้น
( ผู้รับบท : โอโคจิ ฮิโรชิ )
ซาคุตะ เมกุมิ : อดีตนักข่าวรุ่นพี่ในบริษัทหนังสือพิมพ์ที่ ฮิเมยะ เคยทำงานอยู่
จากการที่เธอได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการสืบหาข้อเท็จจริงของเนโกโระ
จึงทำให้เธอต้องเข้าไปพัวพันกับบีสต์
และได้พบกับ ฮิเมยะ อีกครั้งภายหลังจากที่เขาหายตัวไปโดยไม่ทราบข่าวคราว
จากนั้นเธอก็ถูก มิโซโรงิ ลักพาตัวไปเพื่อใช้เป็นจุดอ่อนของฮิเมยะ
และได้กลายเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์การต่อสู้ครั้งสุดท้าย
ณ.แดนมรณะ ( ทะเลวิปลาส ) ของเขา
แต่หลังจากที่การต่อสู้จบลง เธอก็ถูกหน่วย เมโมรี่โพลิส ลบความทรงจำไปในตอนที่ 25
( ผู้รับบท : คาวาชิมะ โทโมโกะ )
ฮาริสึ นาโออิจิ : เจ้าของร้านอาหารที่อยู่ภายในสวนสนุก เขาได้พบกับ เร็น ที่กำลังร่อนเร่ไปอย่างไร้จุดหมาย
จึงได้ว่าจ้างเขาให้มาเป็นพนักงานที่มาอาศัยอยู่ในร้าน
เขาเป็นคนอัธยาศัยดีและเป็นผู้ที่ให้ความไว้วางใจในตัวของพวกเร็นเป็นอย่างมาก
( ผู้รับบท : คิคุจิ เอย์อิจิ )
โอจิโระ ทาคาชิ : เพื่อนที่ทำงานพิเศษด้วยกันกับเร็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะที่บ้านของเขาเป็นร้านช่างหรือเปล่า
เขาจึงมักจะช่วยซ่อมแซมและตบแต่งห้องของเร็นให้เสมอ
แม้ว่าในเรื่องจะไม่ได้มีการอธิบายอย่างชัดเจน
แต่ดูเหมือนเขาจะรู้สึกได้ว่า เร็น ไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุ 17 ปี ทั่วๆไป
แต่เหมือนกับว่าเขากำลังแบกรับภาระที่หนักอึ้งอะไรบางอย่างอยู่
เขาจึงได้คอยให้ความเป็นห่วง ( ผู้รับบท : ซึซึกิ เคย์ )
สัตว์ประหลาดที่ปรากฎในซีรีส์ Ultraman Nexus
ตอนที่ 2 "อสูรต่างมิติ - SPACE BEAST -"
ตอนที่ 3 "มนุษย์ยักษ์ - ULTRAMAN -"
ตอนที่ 4 "มิติย่อย - META FIELD -"
BROB TYPE BEAST PEDOLEON
มันเป็นบีสต์ที่ชอบกินสารเอทานอล และจะคอยจู่โจมตามปั๊มนำมันและโรงงานต่างๆในยามวิกาล
ภายในร่างกายของมันประกอบด้วยอัตราส่วนของน้ำถึง 95 %
ร่างของมันจะมีการวิวัฒนาการและเปลี่ยนร่างได้ 3 ลักษณะดังนี้
PEDOLEON KURAIN
ความสูง : 5 ~ 10 เมตร
น้ำหนัก : น้ำหนักตัวจะแตกต่างกันตามขนาด
ลักษณะพิเศษ : ร่างของมันจะประกอบขึ้นมาด้วยสารเหลวที่มีลักษณะคล้ายเยล
มันจะใช้มือของมันเข้ารัดเหยื่อแล้วลากเข้ามากิน
ถึงแม้ว่ามันจะถูกโจมตี แต่หากยังมีชิ้นส่วนของมันหลงเหลืออยู่แม้เพียงชิ้นเดียว
มันก็จะสามารถคืนชีพกลับมาได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
พร้อมกับมีการพัฒนาระบบป้องกันการจู่โจมไปในตัว
PEDOLEON FURIGEN
ความสูง : 40 เมตร
น้ำหนัก : 3 หมื่นตัน
ลักษณะพิเศษ : Pedoleon ร่างรวม ( GUROS ) จะแปลงร่างให้มีลักษณะคล้ายยานอวกาศเพื่อใช้ในการบิน
มันสามารถบินบนฟ้าได้อย่างรวดเร็ว และสามารถปล่อยบอลไฟออกมาจากหนวดที่ส่วนหัว
และหางของมันได้
PEDOLEON GUROS
ความสูง : 20 ~ 50 เมตร
น้ำหนัก : 2 หมื่น 5 พันตัน ~ 4 หมื่น 5 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : ร่างนี้เป็นร่างที่เกิดจากการรวมตัวของ Pedoleon หลายตัวเข้าด้วยกัน
มือที่มีลักษณะคล้ายแส้ของมันสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าจู่โจมศัตรูได้
ภายในตัวของมันจะมีสารส่วนประกอบคล้ายน้ำมันอยู่เป็นจำนวนมาก
ดังนั้นมันจึงสามารถพ่นก๊าซและปล่อยบอลไฟออกมาจากร่างได้
ซ้ำยังมีพัฒนาการในการอาศัยข้อมูลในอดีตมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการต่อสู้อีกด้วย
อาทิ การจับคนเอามาเป็นโล่ป้องกันตัวเอง เพื่อให้ ไนท์เรเดอร์ หยุดโจมตี
ตอนที่ 5 "ผู้เหมาะสม - DUNAMIST -"
ตอนที่ 7 "จอมมาร - FAUST -"
ตอนที่ 8 "M.P - MEMORY POLICE -"
INSECT TYPE BEAST BUGBUZUN
ความสูง : 53 เมตร
น้ำหนัก : 3 หมื่น 5 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : มันเป็นบีสต์ซึ่งมีจุดเด่นตรงหัวที่มีอยู่ 2 หัว บนส่วนหัวและหาง
มือทั้งสองข้างมีกงเล็บที่แหลมคม ประกอบกับปีกที่ด้านหลังซึ่งใช้ในการบิน
ร่างกายของมันจะมีความแข็งแรงทนทานมากราวกับเกราะของแมลง
แต่จะมีจุดอ่อนตรงที่แพ้ต่อความเย็น จากการต่อสู้กับเน็กซัสทำให้ปีกของมันข้างหนึ่ง
ได้รับความเสียหายจนไม่สามารถบินได้
และหลังจากนั้นมันก็หลบซ่อนตัวอยู่ใต้ดินแล้วใช้หนวดของมันที่ส่วนหางจู่โจมมนุษย์
ในบริเวณโรงงานร้าง
INSECT TYPE BEESECTAR
ความสูง : 1 ~ 1.5 เมตร
น้ำหนัก : 100 ~ 150 กิโลกรัม
ลักษณะพิเศษ : บีสต์สายพันธ์แมลงซึ่งจะออกล่าเหยื่อกันเป็นฝูง
พวกมันได้ปรากฎตัวออกมาต่อหน้าดูนามิสท์ซึ่งถือเป็นการส่อแววแห่งลางร้าย
ตอนที่ 6 "ซากโบราณ - RELIC -"
ตอนที่ 17 "ความมืด - DARKNESS -"
ตอนที่ 18 "คัมภีร์บทสุดท้าย - APOCALYPSE -"
FINDISH TYPE BEAST GALBEROS
ความสูง : 52 เมตร
น้ำหนัก : 3 หมื่น 9 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : มันคือบีสต์มารอสูรสามเศียร ซึ่งมีพลังชีวิตอันเข้มแข็งเป็นอมตะ
มันจัดเป็นบีสต์ระดับแนวหน้าซึ่งเล่าขานกันว่า
"แม้จะกำจัดไปซักกี่ครั้ง มันก็จะคืนชีพขึ้นมาจากขุมนรกได้"
นอกจากมันจะมีความสามารถในการยิงกระสุนเพลิงออกจากปากแล้ว
จังหวะที่ตาของมันเปล่งประกายสีแดง มันจะสามารถควบคุมมนุษย์ให้ตกอยู่ในภวังค์
ด้วยพลังจิตพิเศษของมันได้
DARK FAUST ( ปรากฏตัวตั้งแต่ตอนที่ 7 ~ 12 )
ความสูง : 48 เมตร
น้ำหนัก : 3 หมื่น 2 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : มนุษย์ยักษ์แห่งความมืดที่ปรากฎตัวตามมาภายหลังจากที่เน็กซัสปรากฎกายได้ไม่นาน
มันสามารถใช้ Dark Field ซึ่งเป็นสนามพลังตอบโต้ ( Counter Field ) ของ Meta Field
เพื่อใช้ในการสลายพลังงานของเน็กซัสและทำให้ต่อสู้ได้ลำบากขึ้น
ท่าไม้ตายของมันจะมีอยู่หลายท่าด้วยกัน อาทิ Dark Cruster ซึ่งจะปล่อยพลังงานขึ้นสู่ฟ้า
แล้วแตกตัวออกมาเป็นห่าฝนพลังงานด้านมืดไปทั่วอาณาบริเวณ
และ Dark Ray Jabiroume ท่าไม้ตายขั้นสูงสุด
ร่างที่แท้จริงของมันคือ ไซดะ ริโกะ คนรักของโคมงซึ่งสูญเสียความทรงจำไป
( ก่อนหน้านี้เธอได้ตายไปแล้วแต่ถูกใช้เป็นหุ่นเชิดอีกทีหนึ่ง )
แต่ด้วยน้ำตาของโคมงจึงทำให้เธอรำลึกถึงความทรงจำที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดขึ้นมาได้
และช่วยปกป้องเขาเอาไว้จากการจู่โจมของ นอสเฟล จนตัวเองต้องจบชีวิตลง
ตอนที่ 9 "คำเตือน - WARNNING -"
ตอนที่ 10 "บุกทะลวง - STRIKE FORMATION -"
BROOM TYPE BEAST LAFLEYA
ความสูง : 55 เมตร
น้ำหนัก : 4 หมื่น 8 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : บีสต์สายพันธุ์ดอกไม้ซึ่งจะปล่อยละอองเกสรสีเหลืองที่มีองค์ประกอบของก๊าซไวไฟ
ปะปนอยู่ออกมาจากกลีบขนาดใหญ่
เมื่อเกสรนี้ไปถูกศัตรูเข้าเมื่อไหร่ ก็จะทำให้ก่อเกิดความร้อนสูงไปทั่วร่าง
ความหนาแน่นของละอองเกสรนี้เทียบได้กับก๊าซไฮโดรเจน
ดังนั้นหากมันเกิดการระเบิดขึ้นก็จะทำให้เกิดความหายนะอย่างใหญ่หลวง
ด้วยเหตุนี้ หน่วย Night Raider จึงต้องใช้ยาน Strike Chester บุกทะลวงเข้าไปโจมตีมัน
ใน Meta Field
จุดอ่อนของมันจะอยู่บริเวณกระเปาะละอองเกสรที่อยู่ตรงส่วนหัว
ตอนที่ 11 "หุ่นเชิด - MARIONETTE -"
ตอนที่ 12 "ลาจาก - LOST SOUL -"
ตอนที่ 13 "ผู้หยั่งรู้ - ILLUSTRATOR -"
ตอนที่ 14 "ปีศาจ - MEPHISTO -"
ตอนที่ 15 "ฝันร้าย - NIGHTMARE -"
ตอนที่ 16 "วงกต - LABYRINTH -"
FINDISH TYPE BEAST NOSFERU
ความสูง : 5 ~ 50 เมตร
น้ำหนัก : 3 หมื่น 9 พันตัน ( ขณะขยายร่างใหญ่ที่สุด )
ลักษณะพิเศษ : มันคือบีสต์ที่มีพลังชีวิตเป็นอมตะประเภทเดียวกับ กัลเบรอส
ซึ่งจะมีลักษณะรูปร่างคล้ายหนู
มีฟันกับเขี้ยวเล็บอันแหลมคม ทั้งยังมีความสามารถในการขยายและหดร่างได้ตามใจชอบ
นับเป็นบีสต์ที่สร้างภัยพิบัติให้แก่มนุษย์มากมายอีกตัวหนึ่ง
จุดอ่อนเพียงจุดเดียวของมัน คือ เซลล์คืนชีพซึ่งอยู่ภายในปากที่ถูกเขี้ยวบดบังเอาไว้
ตราบใดที่ไม่สามารถทำลายเซลล์นี้ลงได้ มันก็จะสามารถคืนชีพขึ้นมาได้เรื่อยๆ
DARK MEPHISTO ( ปรากฎตัวตั้งแต่ตอนที่ 14 ~ 34 )
ความสูง : 50 เมตร
น้ำหนัก : 5 หมื่นตัน
ลักษณะพิเศษ : มนุษย์ยักษ์แห่งความมืดคนที่ 2 ซึ่งได้ออกมาปรากฎตัวต่อจาก Dark Faust
มิโซโรงิ ชินยะ ดูนามิสท์แห่งความมืดจะใช้อุปกรณ์แปลงร่าง Dark Evolver
ในการแปลงเป็น Dark Mephisto
มันคือจอมมารที่มีพลังทัดเทียมกับเน็กซัส ซึ่งจะคอยต่อต้านและเข้าขัดขวาง
การกระทำของแสง ( เน็กซัส ) อยู่ตลอดเวลา
Armed Mephisto อุปกรณ์ที่ติดอยู่ตรงแขนของมันซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ Armed Nexus
ของเน็กซัสนั้นจะมีจุดเด่นตรงที่สามารถเปลี่ยนเป็นกงเล็บ Mephisto Claw ได้
ท่าไม้ตายของมันคือ Dark Ray Storm ซึ่งเกิดจากการไขว้มือทั้งสองข้าง
แล้วปลดปล่อยพลังงานด้านมืดทั้งหมดที่มีอยู่ภายในออกมา
สุดท้ายมิโซโรงิได้จิตใจของมนุษย์กลับคืนมาอีกครั้งและยอมพลีชีพของตนตายไป
พร้อมกับ Mephisto Zwei
ตอนที่ 18 "คัมภีร์บทสุดท้าย - APOCALYPSE -"
INSECTIBOLAR TYPE BEAST ARAKUNIA
ความสูง : 2 ~ 13 เมตร
น้ำหนัก : 300 กิโลกรัม ~ 7500 ตัน
ลักษณะพิเศษ : มันคือบีสต์ซึ่งมีพัฒนาการทางด้านประสาทในการรับกลิ่นและการฟังที่ดีมาก
มักจะปรากฎตัวตามใต้ดินเป็นส่วนใหญ่
จุดเด่นของมันคือขนที่ปกคลุมไปทั่วตัว และหนอกเขาขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากไหล่
มันจะใช้กงเล็บอันแหลมคมในการขุดเจาะลงไปในดิน
และยังใช้เป็นอาวุธในการโจมตีศัตรูอีกด้วย
หางอันทอดยาวของมันก็สามารถใช้เป็นแส้จู่โจมศัตรูได้เช่นกัน
ANPHIBIA TYPE BEAST FROGROS
ความสูง : 10 เมตร
น้ำหนัก : 8000 ตัน
ลักษณะพิเศษ : มันเป็นบีสต์ซึ่งสามารถอยู่ได้ทั้งใต้ดิน , บนบก และในน้ำ มีลักษณะหน้าตาคล้ายกบ
มันสามารถยิงกระสุนเพลิงได้อย่างต่อเนื่อง โดยการเผาไหม้น้ำมันซึ่งอยู่ภายในตัวกับอากาศ
แล้วปล่อยออกมา
ด้วยเหตุนั้นเองจึงทำให้หน่วย Night Raider ไม่สามารถเข้าไปโจมตีมันในระยะประชิดได้
แต่ด้วยวิธีการบุกโจมตีในระยะประชิดของมิโซโรงิด้วยปืน Device Launcher
จึงทำให้สามารถกำจัดมันลงได้
ตอนที่ 19 "ดักจู่โจม - CROSS PHASE TRAP -"
ตอนที่ 20 "ไล่ล่า - CHROME CHESTER δ -"
ตอนที่ 21 "ทรมาน - SACRIFICE -"
INVISIBLE TYPE BEAST GOLGOLEM
ความสูง : 55 เมตร
น้ำหนัก : 5 หมื่นตัน
ลักษณะพิเศษ : บีสต์ชนิดสี่ขาที่มีผิวหนังและร่างกายเหมือนวัสดุจำพวกหินแร่
ที่หลังของมันจะมีอวัยวะเรืองแสงซึ่งเป็นผลึกคริสตัลที่สามารถส่งเสียงร้องได้
ทั้งยังมีปากที่สามารถยืดยาวออกมาเพื่อใช้ในการโจมตีและกินเหยื่อได้อีกด้วย
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของมันคือความสามารถในการเดินทางข้ามมิติ
ซึ่งสิ่งที่ควบคุมความสามารถนั้นอยู่ก็คือคริสตัสที่หลังของมันนั่นเอง
คลื่นความสั่นสะเทือนบีสต์ ( Beast Vibration Wave ) ของกอลโกเลม
จะมีระดับความรุนแรงมากกว่าบีสต์ตัวอื่นๆ ดังนั้นสัญญาณที่เรดาร์จึงยังคงไม่หายไปไหน
ทว่า,ถึงแม้จะรู้ที่อยู่ของมันแต่หน่วย Night Raider ก็ไม่สามารถตามไล่ล่ามัน
ไปยังอีกมิติหนึ่งได้
ตอนที่ 22 "พักฟื้น - CURE -"
ตอนที่ 23 "ชะตากรรม - SATISFACTION -"
ตอนที่ 24 "วีรบรุษ - HERO -"
FINDISH TYPE BEAST KUTUURA
ความสูง : 55 เมตร
น้ำหนัก : 4 หมื่น 9 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : บีสต์ที่มีลักษณะคล้ายกับสิ่งมีชีวิตใต้สมุทรซึ่งทั่วทั้งตัวจะมีหนวดอยู่มากมาย
มันจะใช้หนวดนี้ในการจู่โจมมนุษย์จาก ทะเลวิปลาส ที่อยู่ในมิติพิเศษ
นอกจากนี้มันยังสามารถใช้หนวดของมันยืดไปจับ Chester δ และ Strike Chester
ในขณะที่กำลังบินอยู่พร้อมกันถึง 2 ลำได้อย่างแม่นยำ
สุดท้ายมันถูกลำแสง Ultimate Vanisher ของยาน Hyper Strike Chester ยิง
จนแหลกสลายไปในที่สุด
ถือเป็นบีสต์ตัวสุดท้ายที่ฮิเมยะต่อสู้ด้วย
ตอนที่ 25 "ลางสังหรณ์ - PROPHECY -"
ตอนที่ 26 "เร็น - THE THIRD -"
ตอนที่ 27 "ภาวนา - PRAYER -"
ตอนที่ 28 "พบกันอีกครั้ง - REUNION -"
CRUSTICIAN TYPE BEAST GRANTELLA
ความสูง : 53 เมตร
น้ำหนัก : 4 หมื่น 3 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : บีสต์ซึ่งมีผิวหนังอันแข็งแกร่งคล้ายกับสัตว์จำพวกมีเปลือก
แม้มันจะถูกยาน Chrome Chester โจมตี
แต่ก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายอะไรให้มันได้เลยสักนิด
มันสามารถปล่อยลูกไฟระหว่างมือทั้งสองข้างได้
ทั้งยังมีปากกระบอกปืนที่ปลายหางซึ่งสามารถยิงลูกไฟที่มีอานุภาพอันรุนแรงออกมาได้
บวกกับปากกระบอกปืนอีก 6 ช่องซึ่งจะปรากฏให้เห็นเมื่อมันเปิดช่องท้องออกมา
และจะปล่อยห่าฝนลูกไฟออกมาโจมตีแบบไม่เลือกหน้า
ตอนที่ 29 "เสียงเพรียกวิญญาณ - CALLING -"
EARTHROPOD TYPE BEAST BANPIRA
ความสูง : 45 เมตร
น้ำหนัก : 4 หมื่นตัน
ลักษณะพิเศษ : บีสต์ซึ่งมีลักษณะภายนอกคล้ายแมงมุม มันจะพ่นใยสีขาวออกจากปากและหาง
เพื่อรัดเป้าหมายที่มันต้องการ
หมอกที่มันพ่นออกมาจะมีความสามารถในการสะท้อนคลื่นสั่นสะเทือนบีสต์ได้
ดังนั้นมันจึงสามารถออกอาละวาดภายในหมอกได้โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้
มิหนำซ้ำเสียงหวีดร้องของมันยังมีผลเสียดแทงไปยังสมองของมนุษย์
จนทำให้ใครต่อใครที่ได้ยินเสียงร้องของมันต่างพากันหมดสติไปทุกราย
ตอนที่ 30 "ผู้สังเกตุการณ์ - WATCHER -"
ตอนที่ 31 "นก - BIRD -"
REPTILE TYPE BEAST LIZARIAS
ความสูง : 51 เมตร
น้ำหนัก : 3 หมื่น 6 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : มันคือบีสต์ที่มีนิสัยดุร้าย เมื่อมองจากภายนอกแล้วจะดูคล้ายสัตว์เลื้อยคลานชนิดมีเกล็ด
( หรือก็คือ กิ้งก่า นั่นแหละ ) ตรงบริเวณใกล้คอหอยของมันจะเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่
ในการชาร์จพลังงานความร้อน แล้วจะปล่อยออกมาทางปาก
โดยสังเกตตอนที่มันกำลังจะปล่อยแสงได้จากลำคอของมันซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม
หลังจากที่เน็กซัสกำจัดมันลงได้ครั้งหนึ่ง
เศษชิ้นส่วนที่เหลือของมันก็ถูกความมืดใน Dark Field G ดูดเข้าไป
แล้วคืนชีพขึ้นมาใหม่เป็น LIZARIAS GROLAR
REPTILE TYPE BEAST LIZARIAS GROLAR
ความสูง : 51 เมตร
น้ำหนัก : 3 หมื่น 8 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : ร่างที่ถือกำเนิดจากเศษชิ้นส่วนที่เหลือของ LIZARIAS ซึ่งถูกเน็กซัสทำลายไป
แล้วได้รับการวิวัฒนาการภายใน Dark Field G จนคืนชีพขึ้นมามีร่างที่ทรงพลังกว่าเดิม
มันมีร่างกายอันแข็งแกร่งขนาดที่สามารถทนทานต่อลำแสง Strike Vanisher
ของ Strike Chester ได้
ที่ช่วงไหล่ของมันจะมีเขา 2 ข้างงอกออกมา และตรงอกจะมีปากอีกปากหนึ่งโผล่ขึ้นมา
ซึ่งสามารถปล่อยพลังงานความร้อนสูงที่มีอานุภาพรุนแรงกว่าเดิมออกมาได้
ตอนที่ 31.5 ( EX ) "ชิโอริ - LOST MEMORIES -"
INSECT TYPE BEAST BUGBUZUN BROOD
ความสูง : 1.8 ~ 40 เมตร
น้ำหนัก : 150 กิโลกรัม ~ 3 หมื่น 3 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : บีสต์สายพันธุ์แมลงซึ่งมีโครงสร้างทางกายภาพคล้ายคลึงกับผิวหนังของแมลง
มันจะกลายเป็นอาหารให้กับ BUGBUZUN GROLAR ในภายหลัง
INSECT TYPE BEAST BUGBUZUN GROLAR
ความสูง : 53 เมตร
น้ำหนัก : 3 หมื่น 5 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : บีสต์สายพันธุ์แมลงซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่เขี้ยวเล็บอันแหลมคมทั้งสองข้าง
และหัวซึ่งมีอยู่ 2 หัว ทั้งที่หัวและที่หาง
ผิวหนังของมันจะมีความแข็งแกร่งกว่า BUGBUZUN ร่างธรรมดาถึง 300 %
ตอนที่ 32 "เงามืด - UNKNOWN HAND -"
DARK MEPHISTO ZWEI
ความสูง : 50 เมตร
น้ำหนัก : 5 หมื่นตัน
ลักษณะพิเศษ : ร่างแปลงของ มิซาว่า ฮิโรยูกิ ดูนามิสท์แห่งความมืด
ผู้ได้รับพลังด้านมืดมาจาก Unknown Hand ถัดจาด มิโซโรงิ ชินยะ
เมื่อดูจากภายนอกแล้วอาจจะไม่มีอะไรแตกต่างจาก Dark Mephisto เท่าไรนัก
แต่พอเวลาที่มันโกรธ ดวงตาของมันจะลุกวาวเป็นสีแดงฉาน
ในด้านพลังและความเร็วของมันเทียบเคียงได้กับ Dark Mephisto
ไม่ว่าจะเป็นท่า Mephisto Shot หรือแม้แต่ท่าไม้ตายขั้นสุดยอด Dark Ray Shutrome
ก็มีพลังทัดเทียมกัน แต่ทว่า,มันยังมีท่าไม้ตายอื่นๆที่ Dark Mephisto ไม่มี
อาทิ Dark Falanks และ Burst Cruster กระสุนแสงที่จะปล่อยกลางอากาศ
แล้วพุ่งเป้าไปหาศัตรูด้วยความเร็วสูง
ขณะที่มันสามารถไล่ต้อน เน็กซัส จูเนสบลู ให้จนมุมได้นั่นเอง
มันก็ถูก Dark Mephisto ( มิโซโรงิ ) ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใช้พลังเฮือกสุดท้ายเข้าต่อสู้
และจับล็อคให้ เน็กซัสจูเนสบลู ยิงท่าไม้ตาย Arrow Ray Storm ใส่จนสูญสลายไปทั้งคู่
ตอนที่ 33 "ลืมเลือน - A.D.2004 -"
ตอนที่ 34 "ปิดผนึก - A.D.2009 -"
ตอนที่ 35 "จลาจล - REVOLT -"
NORTILUS TYPE BEAST MEGAFLASH
ความสูง : 55 เมตร
น้ำหนัก : 3 หมื่น 9 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : มันเป็นบีสต์ซึ่งสามารถซ่อนลำตัวเข้าไปในเปลือกหอยได้
ทั้งยังมีความสามารถในการบินอีกต่างหาก
มันจะสร้างห้วงมิติกักกันด้วยคลื่นสีรุ้งแล้วจับมนุษย์ไปกินภายในนั้น
ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วยลำแสงของยาน Chrome Chester หรือแม้แต่ อุลตร้าแมน เอง
ก็ไม่สามารถใช้ได้ผลภายในอาณาเขตนี้ เนื่องด้วยผลของคลื่นสีรุ้งนั่นเอง
นอกจากนั้นมันยังมีอาวุธอีกอย่างหนึ่ง คือ การปล่อยกระแสไฟฟ้าอันรุนแรง
จากเขาทั้งสองข้างบนเปลือกหอย
ตอนที่ 36 "ศึกตัดสิน - FAREWELL -"
FINDISH TYPE BEAST EZMAEL
ความสูง : 60 เมตร
น้ำหนัก : 6 หมื่นตัน
ลักษณะพิเศษ : สุดยอดอสูรกายที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งถือกำเนิดจากความมืดภายใน UNKNOWN HAND
มันมีความสามารถในการใช้ท่าโจมตีของบีสต์ทุกตัวในอดีตที่ผ่านมา
โดยจะใช้วิธีระดมโจมตีศัตรูโดยไม่ให้มีช่องทางในการโจมตีตอบกลับได้
เปรียบเสมือนกับปราการเหล็กอันแข็งแกร่ง
ทว่า , ด้วยท่า Over Arrow Ray Storm ซึ่งเป็นพลังเฮือกสุดท้ายของ เน็กซัส จูเนสบลู
จึงทำให้พิชิตมันลงได้เป็นผลสำเร็จ
ตอนที่ 37 "สายสัมพันธ์ - NEXUS -"
DARK ZAGI
ความสูง : 50 เมตร
น้ำหนัก : 5 หมื่น 5 พันตัน
ลักษณะพิเศษ : เทพแห่งการทำลายล้างที่แสนจะชั่วร้าย ซึ่งได้สบโอกาสฟื้นคืนชีพขึ้นมาในที่สุด
มันถูกเรียกขานในอีกนามหนึ่งว่า "จ้าวแห่งปรโลก ดาร์คซากิ"
ในอดีตมันคืออาวุธขั้นสุดท้ายที่ใช้ในการต่อกรกับเหล่าบีสต์ ซึ่งถูก "ผู้มาเยือน" จำลองแบบ
มาจาก มนุษย์ยักษ์แห่งแสง ผู้เดินทางมาช่วยเหลือยามที่ดาวบ้านเกิดของเหล่าผู้มาเยือน
กำลังถูกบีสต์เข้ารุกราน แต่อยู่ๆมันก็เริ่มมีความคิดเป็นของตนเอง และเกิดความแปรปรวน
ก่อการอาละวาดขึ้น มันกลับไปทำตามบีสต์ ทำลายดาวบ้านเกิดของเหล่าผู้มาเยือน
จนพินาศสิ้น เมื่อเหล่าผู้มาเยือนเห็นดังนั้นพวกเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะระเบิดดาวบ้านเกิดของ
ตนเองเพื่อหยุดยั้งมัน แต่ถึงแม้พวกเขาจะเสียสละไปมากมายถึงเพียงนั้น
แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถยับยั้งการรุกรานของ บีสต์ และ ดาร์คซากิ ลงได้
ท่าไม้ตายของซากิจะมีอยู่หลากหลายท่าด้วยกัน อาทิ LIGHTENING ZAGI ฯลฯ
ซึ่งพลังอานุภาพของแต่ละท่านั้นเทียบเท่ากับพลังของ อุลตร้าแมนโนอาห์ เลยทีเดียว
Credit : hicbc.com/tv/nexus/
**********************************************************
**********************************************************
**********************************************************
N THE OTHER
"N" THE OTHER คือ เนื้อเรื่องที่ต่อเติมขึ้นมาเพื่อเป็นการอุดช่องว่างของช่วงเวลาที่ขาดหายไปรวมไปถึงการไขปริศนาต่างๆในภาพยนตร์ อุลตร้าแมน และซีรีส์ อุลตร้าแมนเน็กซัส เพื่อเสริมให้เนื้อเรื่องมีความครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งเนื้อเรื่องที่นำมาลงนี้ได้ถูกแต่งขึ้นโดยฝีมือของคุณ ฮาเซงาว่า เคย์อิจิ ผู้เขียนบทภาพยนตร์ "อุลตร้าแมน" รวมทั้งยังเป็นผู้วางโครงเรื่องและผู้เขียนบทในทีวีซีรีส์เรื่อง "อุลตร้าแมนเน็กซัส" อีกด้วย
ความจริงอันไม่คาดคิดซึ่งไม่มีการกล่าวถึงในภาพยนตร์หรือทีวีซีรีส์อย่างลึกซึ้งบัดนี้กำลังจะถูกเปิดเผยแล้ว
ความจริงอันไม่คาดคิดซึ่งไม่มีการกล่าวถึงในภาพยนตร์หรือทีวีซีรีส์อย่างลึกซึ้งบัดนี้กำลังจะถูกเปิดเผยแล้ว
- - - - - Chapter 1 - - - - -
บทที่ 1 ผู้มาเยือน - VISITOR -
A.D. 1991 รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา
"นั่นคือชะตากรรมของดาวดวงนี้อย่างนั้นหรือ"
ยามาโอกะ ฮาจิเมะ กล่าวพึมพำในระหว่างที่เขากำลังเดินอยู่ในป่าบริเวณใกล้ศูนย์วิจัย หลังจากการทดลองเมื่อวาน ยามาโอกะได้แสดงอาการหวาดวิตกอย่างเห็นได้ชัด ความคิดที่เคยสุขุมรอบคอบของเขาเริ่มสับสนปั่นป่วน "คำพูด" ของเด็กชายวัย 10 ขวบที่ชื่อ ไคโมโตะ นั้นสำหรับยามาโอกะแล้ว ไม่สิ สำหรับมนุษยชาติแล้วถือเป็นเรื่องที่สร้างความตกตะลึงได้ถึงเพียงนั้น ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องทดลองเมื่อวานยังคงอยู่ในความทรงจำของยามาโอกะอย่างแจ่มชัด
ห้องพิเศษซึ่งอยู่ใต้ดินลึกสุดของสถาบันทางการทหาร เขตการทดลองลับสุดยอดซึ่งมีเพียงแต่เหล่ามนุษย์ผู้ถูกเลือกเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้
"พวกเขา" ได้อยู่ภายในห้องทดลองแห่งนั้นซึ่งเรียกกันว่า "Section Zero"
หลอดแก้วขนาดใหญ่ที่เปล่งประกายแสงสีขาวนวล สิ่งมีชีวิตอันไร้รูปลักษณ์จำนวนมากกำลังล่องลอยอยู่ภายในสารหล่อเลี้ยงที่เต็มเปี่ยม ซึ่งเมื่อมองดูผิวเผินแล้วจะมีลักษณะคล้ายกับแมงกะพรุน นั่นคือร่างของ "พวกเขา ผู้มาเยือน" ในขณะอยู่บนโลก
เมื่อ 2 ปีก่อน ในปี ค.ศ.1989 ขณะที่องค์การ NASA ได้คอยเฝ้าสังเกตเหตุการณ์การระเบิดของ Supernova ในกลุ่มดาวราศีพิจิก M80 ขณะเดียวกันนั้นได้มีวัตถุเรืองแสงลึกลับตกลงมาในทะเลทรายของประเทศสหรัฐอเมริกา
กองทัพทหารของอเมริกาที่ได้รีบรุดไปยังที่เกิดเหตุได้พบเห็นสิ่งมีชีวิตในรูปทรงของพลังงานที่ไม่คงที่เป็นจำนวนมากจึงได้นำกลับไปยังฐานทัพ ซึ่งนั่นนับเป็นสิ่งมีชีวิตนอกโลกสิ่งแรกที่มนุษยชาติได้ค้นพบ รัฐบาลอเมริกาที่ได้นำ "พวกเขา" กลับไปยังฐานลับทางทหารในรัฐโคโลราโดและผนึก "พวกเขา" เอาไว้ในห้วงมิติพิเศษได้พยายามทดลองติดต่อกับ "พวกเขา" ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้ทรงปัญญา แต่ทว่าเจตนาที่ต้องการจะสื่อสารภาษาด้วยคำพูดกับ "พวกเขา" ก็เป็นอันต้องยุติลงด้วยความล้มเหลว เนื่องจาก "พวกเขา" ใช้วิธีการติดต่อสื่อสารกันทางโทรจิตโดยไม่สามารถมีร่างจริงอยู่ภายในสภาพแวดล้อมของโลกได้
หลังจากนั้นหน่วยงาน FBI และ CIA จึงได้รวบรวมบุคลากรจำนวนมากให้มาอยู่ภายในศูนย์วิจัยทางการทหารอย่างลับๆ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นต่างเป็นกลุ่มบุคคลผู้ถูกเรียกว่า ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ และแน่นอนว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้แอบอ้าง แต่ทว่าจากผลการทดลองอย่างเข้มงวดจึงทำให้องค์กรสามารถคัดเลือกผู้มีความสามารถตัวจริงออกมาได้ ทั้งยังได้ค้นพบเด็กชายผู้มีความสามารถเป็นเลิศคนหนึ่งในบรรดากลุ่มผู้มีความสามารถเหล่านั้น
เขาสามารถรับรู้ถึงความนึกคิดของเหล่าผู้มาเยือนและถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้ ซึ่งเขาคนนั้นก็คือ ไคโมโตะ ฮายาโตะ เด็กชายชาวญี่ปุ่นวัย 10 ขวบนั่นเอง
"เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเถอะ" ยามาโอกะ เอ่ยกับไคโมโตะด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนท่ามกลางการเฝ้าจับตามองของเหล่าผู้บัญชาการทางทหารและพนักงานศูนย์วิจัยอีกหลายนาย เขานั่งอยู่เบื้องหน้าหลอดแก้วขนาดใหญ่ที่เหล่าผู้มาเยือนกำลังล่องลอยอยู่ และถูกสวมที่ครอบหัว ( Head gear ) ซึ่งเชื่อมต่อกับสายไฟจำนวนนับไม่ถ้วน
"ไคโมโตะคุง รวบรวมสมาธิแล้วช่วยบอกคำพูดของพวกเขาให้เราที" เมื่อยามาโอกะพูดรบเร้าเขาอีกครั้ง เด็กชายจึงหลับตาลงด้วยท่าทีที่สงบนิ่งและได้เริ่มกล่าวถึง สารจากเหล่าผู้มาเยือน
หลังจากที่ได้ทำการทดลองติดต่อสื่อสารมาเป็นระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ รายละเอียดเนื้อหาที่ได้จากผลลัพธ์นั้นช่างเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายและน่าสะพรึงกลัวกว่าที่คิด
ดาวบ้านเกิดของพวกเขาซึ่งเจริญรุดหน้าไปไกลด้วยวิทยาการอันล้ำสมัย แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งจู่ๆความหายนะก็ได้มาเยือนสู่ดาวของพวกเขา วัตถุเรืองแสงสีน้ำเงินปริศนาได้บินลงมาและก่อกำเนิดบีสต์อันชั่วร้ายขึ้น บีสต์เริ่มขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนน่าตกตะลึงและได้เข้าทำลายดาวของพวกเขา ทว่าในขณะนั้นเองก็มีวัตถุเรืองแสงสีแดงบินลงมาแล้วปรากฏเป็นมนุษย์ยักษ์แห่งแสง หลังจากที่กำจัดบีสต์จนหมดสิ้นเขาก็ได้กลายเป็นพลังงานเพื่ออยู่ในสภาพจำศีล และแล้วดาวของพวกเขาก็สามารถรอดพ้นจากความหายนะครั้งนี้มาได้ แต่ทว่าความกังวลใจและความหวาดกลัวนั้นยังคงไม่เลือนหายไปจากใจของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงได้สร้างมนุษย์ยักษ์ขึ้นมาด้วยวิทยาการของตนเอง ซึ่งในขณะเดียวกันนั้น บีสต์ ก็เริ่มคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งและเข้าต่อสู้กับมนุษย์ยักษ์ซึ่งมีชื่อว่า ซากิ อย่างดุเดือด แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ซากิเกิดอาละวาดอย่างคลุ้มคลั่งและกลับแพร่พันธุ์เหล่าบีสต์ที่ตนควรจะกำจัด หากบีสต์ยิ่งเข้มแข็งขึ้นเท่าไร ซากิก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น โปรแกรมการพัฒนาตนเองของซากิได้แสดงความผิดปกติให้เห็น ความขัดแย้งของโปรแกรมที่ทำให้บีสต์ที่ควรจะกำจัด เพิ่มเผ่าพันธุ์และวิวัฒนาการไปเพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง และแล้วในที่สุดดาวของพวกเขาก็เต็มไปด้วยเหล่าบีสต์ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเลือกวิถีทางสุดท้าย คือ การทำลายดาวบ้านเกิดด้วยมือของตนเอง
ขณะเดียวกันนั้นพวกเขาก็ได้กลายร่างของตนให้เป็นวัตถุส่งถ่ายข้อมูลอณุภาคแสงและหลบหนีไปยังอวกาศ จนในที่สุดพวกเขาก็ได้มาถึงยังโลกใบนี้ภายหลังจากที่ผ่านการเดินทางอันแสนยาวนาน
ทว่า นั่นถือเป็นการคำนวณที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง บีสต์ที่น่าจะสูญสลายไปพร้อมกับดาวของพวกเขาเองก็ได้กลายเป็นวัตถุข้อมูลอนุภาคแสงและได้บินลงมายังโลกพร้อมกับพวกเขาเช่นกัน ด้วยเจตจำนงค์ของเทพแห่งการทำลายล้างที่น่าพรั่นพรึง ดาร์คซากิ
"ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้ง นับเป็นชะตากรรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ยามใดที่ซากิคืนชีพโลกก็จะถึงแก่ความหายนะ"
"ไม่จริง ! ..........มันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้หรอก ไม่มีทาง !!"
ยามาโอกะหยุดยืนนิ่งอยู่กลางถนนในป่าพร้อมตะโกนออกไปโดยไม่ทันนึกเหมือนกับที่เกิดขึ้นในห้องทดลองเมื่อวาน ยามาโอกะได้ปฏิเสธความรู้สึกที่ผุดขึ้นภายในใจของเขา ซึ่งความรู้สึกนั้นก็คือ ความกลัวอย่างสุดขีดนั่นเอง
"โลกนี้จะพินาศอย่างนั้นหรือ ? ฉันไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด"
จู่ๆคำพูดหนึ่งก็ดังก้องเข้ามาในหูของยามาโอกะที่พูดพึมพำเหมือนเตือนสติกับตัวเองหลายครั้ง
"กลัวมาก..........ถึงขนาดนั้นเลยหรือ"
"ใครน่ะ ?" ยามาโอกะเหลียวมองดูโดยรอบด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ไม่พบเงาของใครคนอื่นนอกจากตัวของเขาเองท่ามกลางป่าที่เริ่มมืดสลัวลงจางๆ หรือเขาจะคิดไปเองอย่างนั้นหรือ ชั่ววินาทีที่ยามาโอกะถอนหายใจด้วยความโล่งใจอยู่นั้นเอง เสียงนั้นก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง "จงกลัวเข้าไป..........กลัวเข้าไป..........ให้มากกว่านี้สิ"
"นั่นใครน่ะ !?" นี่ไม่ใช่อาการหูแว่วแน่ๆ เสียงนี้ได้ยินดังกึกก้องเขาไปภายในสมองของเขาโดยตรง ยามาโอกะหยุดยืนนิ่งในสภาพการณ์ซึ่งยากจะรับได้ ชั่ววินาทีต่อมานั้นเองที่ดวงตาของยามาโอกะต้องเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวที่ในชีวิตนี้ของเขาไม่เคยประสบมาก่อน
แสงสีขาวนวลได้คลอบคลุมทั่วร่างของเขาแล้วจากนั้นยามาโอกะก็ล้มลง
"อ๊ากกกกก !!"เจตจำนงอันชั่วร้ายได้เข้ากลืนกินจิตใจของยามาโอกะที่ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างสุดเสียง
นั่นคือ คลื่นพลังความมืด ( ซากิ ) สีดำทมิฬอันน่าสะพรึงชวนขนลุก
- - - - - Chapter 2 - - - - -
บทที่ 2 เหวลึก - ABYSS -
A.D. 2004 เมืองชินจูกุ ประเทศญี่ปุ่น
"..........ที่นี่มัน..........ที่ไหนกัน ?" ชายคนหนึ่งลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ――― หนาวจัง ความหนาวเหน็บอันแสนเย็นยะเยือกทำให้ร่างของชายผู้นี้ต้องสั่นเทา "ที่นี่มันที่ไหนกัน ?" เขาเริ่มมีสติย้อนถามคำถามเดิมอีกครั้ง ทว่าสภาพที่รายล้อมเขาอยู่ในตอนนี้มีแต่เพียงความมืดที่แสนสงบเงียบเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เขากำลังตกอยู่ในตอนนี้ได้เลย
..........อย่าลนลานสิ ค่อยๆคิดไปเรื่อยๆก็ได้นี่นา เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะขัดเกลาความคิดของเขาซึ่งดูเหมือนกับพอจะนึกอะไรออกลางๆ และแล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างออกท่ามกลางความมืด
แสง.....ใช่แล้ว เราได้เห็นแสงนั่น ..........แสงสีขาวนวล
ความทรงจำของเขาเริ่มหวนนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน นั่นเป็นสถานที่แคบๆซึ่งรายล้อมไปด้วยเครื่องตรวจวัดจำนวนนับไม่ถ้วน เขาได้พบกับความมืดในซอกเหวลึก ใช่แล้ว ที่นั่นคือก้นทะเล ก้นทะเลซึ่งมีความลึก 5000 เมตร ที่ที่เขาเคยดำลงไปหลายต่อหลายครั้ง ขณะนั้นเขาได้นั่งอยู่ภายในห้องควบคุม DSRV ( เรือปฏิบัติการใต้ทะเลลึกขนาดเล็ก ) ในระหว่างที่ฟังเสียงคลื่นโซน่าร์ที่ดังกึกก้องอย่างเงียบๆ
เขามองไปที่หน้าจอของเรดาร์ใต้น้ำและมั่นใจว่า เป้าหมายจะต้องอยู่ใกล้ๆนี้แน่นอน อีกเดี๋ยวก็คงจะพบแล้ว
จากข้อมูลที่ผู้บัญชาการได้อธิบายสิ่งนั้นคือวัตถุที่มีลักษณะคล้ายกับอุกกาบาต ทว่า,ในขณะที่มันตกลงมานั้นได้มีการตรวจพบจุดที่น่าสงสัยอยู่หลายประการด้วยกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียด
เขามีความมั่นใจและมีความภาคภูมิใจกับงานที่เขาทำมาก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดที่จะเลิกปฏิบัติหน้าที่ที่เสี่ยงภัยอย่างการสำรวจใต้ทะเลลึกเลยสักครั้ง แต่ว่าบัดนี้ จิตใจของเขาเริ่มรู้สึกสั่นคลอนและเกิดความลังเลสับสนอย่างเห็นได้ชัด
นับจากนี้ไปเมื่อครึ่งปีก่อน เขาได้บังเอิญไปพบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ฐานทัพโยโกซึกะ เธอเป็นพนักงานวิจัยขององค์การวิจัยต่อต้าน BIOTERO ซึ่งกองกำลังป้องกันตนภาคพื้นดินเป็นผู้ที่ก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาใหม่
มิซึฮาระ ซาระ ผู้หญิงคนนี้เมื่อมองดูผิวเผินแล้วอาจจะดูเป็นคนเย็นชา แต่แท้จริงแล้วเธอเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนมาก ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มีความคิดอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ตรงกันข้ามกับเรือนร่างอันแสนอรชรของเธอ
ภายหลังจากที่เขาได้แลกเปลี่ยนบทสนทนากับเธอหลายต่อหลายครั้งอยู่นั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าเขาได้หลงรักเธอเข้าแล้ว จนเมื่อถึงเวลาที่เขาสารภาพความในใจกับเธอภายหลังจากที่ได้ออกเดทกันมาหลายครั้ง นั่นจึงทำให้เขาได้รู้ว่าเธอเองก็มีความรู้สึกพิเศษเช่นเดียวกับตัวเขาเช่นกัน ซึ่งเขาเองก็รู้สึกมีความปลาบปลื้มอยู่ภายในใจลึกๆ
และแล้วเขาจึงตัดสินใจที่จะแต่งงานกับเธอทันที โดยหลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ให้หลังเขาจึงได้มอบแหวนให้แก่เธอและขอเธอแต่งงาน
โครม จู่ๆความคิดของเขากลับเรรวนอย่างกะทันหัน
แรงกระแทกเมื่อกี้นี้มันอะไรกัน ? อะไรน่ะ แสงสีขาวนวลที่โจมตีมาจากความมืดนี้มัน..........!?
กึ้ง ! แรงปะทะอย่างรุนแรงได้โจมตีเข้ามาภายในเรือ
เสี้ยววินาทีต่อจากนั้น เรือปฏิบัติการใต้ทะเลลึกที่เขานั่งอยู่ก็เกิดความเสียหายขึ้นอย่างหนัก น้ำทะเลจำนวนมากได้ไหลทะลักเข้ามาภายในเรือ แรงดันของน้ำอันมหาศาลได้พุ่งเข้าซัดถาโถมเขาเพียงชั่วพริบตา สติของเขากำลังค่อยๆเลือนลางลง ทว่าขณะเดียวกันนั้นแสงสีน้ำเงินก็ได้เข้าห่อหุ้มร่างของเขาไว้ และกลืนเขาเข้าไปสู่ประกายแสงอันเจิดจ้า
แรงกระแทกเมื่อกี้นี้มันอะไรกัน ? อะไรน่ะ แสงสีขาวนวลที่โจมตีมาจากความมืดนี้มัน..........!?
กึ้ง ! แรงปะทะอย่างรุนแรงได้โจมตีเข้ามาภายในเรือ
เสี้ยววินาทีต่อจากนั้น เรือปฏิบัติการใต้ทะเลลึกที่เขานั่งอยู่ก็เกิดความเสียหายขึ้นอย่างหนัก น้ำทะเลจำนวนมากได้ไหลทะลักเข้ามาภายในเรือ แรงดันของน้ำอันมหาศาลได้พุ่งเข้าซัดถาโถมเขาเพียงชั่วพริบตา สติของเขากำลังค่อยๆเลือนลางลง ทว่าขณะเดียวกันนั้นแสงสีน้ำเงินก็ได้เข้าห่อหุ้มร่างของเขาไว้ และกลืนเขาเข้าไปสู่ประกายแสงอันเจิดจ้า
"ระวังตัวด้วยนะ คุณทาคาฟุมิ อาทิตย์หน้าเราจะไปดูชุดแต่งงานด้วยกันนะ" เขานึกถึงคำพูดที่เธอกล่าวกับเขาก่อนที่จะออกไปปฏิบัติภารกิจในวันนี้ การจัดพิธีแต่งงานในโบสถ์ซึ่งรายล้อมไปด้วยรอยยิ้มของเหล่าเพื่อนร่วมงานที่หยอกล้อกันอย่างสนุกสนานและสร้างชีวิตครอบครัวที่มีความสุข
นั่นเป็นความใฝ่ฝันที่ตัวของเขาเองเมื่อไม่นานมานี้ไม่เคยแม้แต่จะคาดคิด เนื่องจากเขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะมีสิ่งอื่นใดที่สำคัญไปกว่าภารกิจของเขาจนกระทั่งเมื่อเขาได้พบเจอเธอ
นั่นเป็นความใฝ่ฝันที่ตัวของเขาเองเมื่อไม่นานมานี้ไม่เคยแม้แต่จะคาดคิด เนื่องจากเขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะมีสิ่งอื่นใดที่สำคัญไปกว่าภารกิจของเขาจนกระทั่งเมื่อเขาได้พบเจอเธอ
"..........ฉันต้องกลับไป..........ซาระกำลังรอฉันอยู่ ฉันต้องรีบกลับไปหาเธอ" เขานึกถึงเรื่องทั้งหมดได้แล้วและพยายามลุกขึ้นยืนท่ามกลางความมืด แต่แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นแปลกๆที่ตลบอบอวนอยู่ในความมืดรอบตัวเขา
มันส่งกลิ่นเหม็นซึ่งชวนให้สำลัก นั่นคือกลิ่นคาวของเลือดนั่นเอง
จ๋อม เท้าของเขาได้เหยียบลงบนพื้นที่มีน้ำขังเฉอะแฉะ จากนั้นเขาจึงเข้าใจว่านั่นคือเลือดที่เจิ่งนองจำนวนมาก นั่นคือเลือดของผู้คนที่เขาคร่าชีวิตไป
..........นี่เราเป็นอะไรไป ?
ทำไม เราถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ ?
สถานที่แห่งนั้นก็คือทางใต้ดินในเมืองชินจูกุ ความมืดในห้วงลึกซึ่งเขากำลังใช้เป็นที่ซ่อนตัวเพื่อรักษาบาดแผลที่เขาได้รับภายหลังจากที่เป็นฝ่ายปราชัยในการต่อสู้กับมนุษย์ยักษ์สีเงิน
ฉัน..........เป็นใครกัน ?
มันส่งกลิ่นเหม็นซึ่งชวนให้สำลัก นั่นคือกลิ่นคาวของเลือดนั่นเอง
จ๋อม เท้าของเขาได้เหยียบลงบนพื้นที่มีน้ำขังเฉอะแฉะ จากนั้นเขาจึงเข้าใจว่านั่นคือเลือดที่เจิ่งนองจำนวนมาก นั่นคือเลือดของผู้คนที่เขาคร่าชีวิตไป
..........นี่เราเป็นอะไรไป ?
ทำไม เราถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ ?
สถานที่แห่งนั้นก็คือทางใต้ดินในเมืองชินจูกุ ความมืดในห้วงลึกซึ่งเขากำลังใช้เป็นที่ซ่อนตัวเพื่อรักษาบาดแผลที่เขาได้รับภายหลังจากที่เป็นฝ่ายปราชัยในการต่อสู้กับมนุษย์ยักษ์สีเงิน
ฉัน..........เป็นใครกัน ?
ฉัน..........เป็นใครกันแน่ ?
..........ช่วยบอกฉันทีสิ..........ซา..........ระ
จิตสำนึกของชายผู้นี้ในฐานะของ อุโด้ ทาคาฟุมิ ได้จมดิ่งลงสู่เหวลึกอีกครั้งโดยไม่มีวันที่จะเรียกหวนคืนกลับมาได้อีกเป็นครั้งที่สอง
- - - - - Chapter 3 - - - - -
บทที่ 3 คืนชีพ - RESURRECTION -
A.D. 2009 สำนักงานใหญ่ของ TLT ในทวีปอเมริกาเหนือ
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปเป็นระยะเวลา 5 ปี
ณ. ศูนย์วิจัย ซาระซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์และจ้องมองดูข้อมูลในอดีตเมื่อ 5 ปีก่อนอยู่ภายในห้องที่โปร่งสบายได้กล่าวคำพูดหนึ่งออกมาว่า
หลังจากวันนั้น ได้มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นไม่น้อย ทั้งความตื่นตระหนก ความเศร้าโศก ความโกรธแค้น และ.....
เศษเสี้ยวแห่งความทรงจำที่ผุดขึ้นภายในสมองของซาระทุกสิ่งล้วนแจ่มชัด เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ถูกเก็บไว้ภายในใจของเธอด้วยความรู้สึกที่มีชีวิตชีวา
ภายในทางใต้ดินในเมืองชินจูกุ เธอได้พบกับคนรักของเธอที่กลายร่างอย่างสมบูรณ์ไปแล้วอีกครั้งท่ามกลางความมืดมิด ซาระจำเป็นต้องกำจัดผู้ชายที่เคยสาบานว่าจะแต่งงานกับเธอคนนั้นด้วยมือของตนเอง ทั้งๆที่ทั้งสองต่างมีความรักให้แก่กัน
ความจริงที่สุดแสนจะโหดร้ายและจุดจบอันน่าเศร้าสลด ราวกับถูกโชคชะตาที่ต้องสาปกลั่นแกล้ง ซาระได้ร่วมมือกับชายหนุ่มที่มีนามว่า มาคิ ชุนอิจิ ในการกำจัด สัตว์ประหลาด เดอะวัน จนเป็นผลสำเร็จ ซาระต้องต่อสู้ฝ่าฝันกับเรื่องราวต่างๆอย่างกล้าหาญโดยเหลือเพียงแต่ความทรงจำที่สำคัญซึ่งยังคงเหลืออยู่ภายในจิตใจ
ทว่า นั่นไม่ใช่จุดจบของเรื่องทั้งหมด แต่กลับเป็นเพียงแค่ปฐมบทเริ่มต้นเท่านั้น
หลังจากผ่านการต่อสู้ระหว่าง เดอะเน็กซ์ กับ เดอะวัน ในเมืองชินจูกุมาเป็นเวลา 1 เดือน ขณะที่ผู้คนเริ่มมีการเรียกขานมนุษย์ยักษ์สีเงินว่า อุลตร้าแมน กันอยู่นั้น ซาระก็ได้รับรู้ถึงการดำเนินแผนการลับอย่างหนึ่งเข้า
เรื่องทั้งหมดนั้นได้เกิดขึ้นโดยถูกชักนำมาจาก สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา ที่กองทัพอเมริกาได้นำกลับไปยังฐานทัพเมื่อ 20 ปีก่อน พวกเขาได้แจ้งเตือนพวกเราว่าสัตว์ประหลาดอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งเรียกว่า สเปซบีสต์ จะปรากฏตัวขึ้นบนโลกผ่านทางโทรจิตอ่อนๆ
จากนั้นอีกหลายปีให้หลัง คดีการเสียชีวิตอย่างพิศดารของวัวและม้าในฟาร์มปศุสัตว์ในรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สเปซบีสต์เริ่มปรากฏตัวขึ้นบนโลกตามที่เหล่าผู้มาเยือนแจ้งเตือนไว้
รัฐบาลอเมริกาซึ่งทราบถึงคดีนี้จึงได้ทำการปิดล้อมบริเวณโดยรอบและสังหารบีสต์ขนาดเล็ก "ซีโร่" ที่เพิ่งปรากฏตัวออกมาได้ไม่นานและนำเอาเซลล์เนื้อเยื่อกลับไป งานควบคุมข่าวสารเพื่อปิดบังข้อมูลจึงถูกจัดขึ้นโดยฝีมือของทางกองทัพ นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงความทรงจำทั้งหมดของพยานผู้พบเห็น
สาเหตุที่ต้องทำเช่นนั้นก็เพราะว่าความทรงจำในเรื่องบีสต์ซึ่งถูกฝังแน่นอยู่ภายในจิตใจของผู้คนนั้นจะเป็นสาเหตุที่ชักนำให้ก่อกำเนิดบีสต์ตัวใหม่ขึ้น เนื่องจากความรู้สึกที่เรียกว่า "ความหวาดกลัว" ซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอย่างมนุษย์ได้ปลดปล่อยออกมานั้นจะเป็นตัวกระตุ้นให้สารปัจจัยในการก่อกำเนิดบีสต์ซึ่งปล่อยลงมาจากอวกาศอยู่ตลอดเวลานั้นทำงาน
กล่าวคือ สเปซบีสต์ เป็นองค์ประกอบอนุภาคแสงที่บินลงมายังโลกในลักษณะของมวลสารข้อมูล โดยจะทำการสิงร่างของสิ่งมีชีวิตบนโลกแล้วสร้างให้เกิดเป็นรูปร่างของสิ่งๆนั้น ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บีสต์จะไม่ขึ้นตรงต่อระบบนิเวศวิทยาใดๆ มันเพียงแต่เกาะกินสิ่งมีชีวิตอื่นๆแล้วทำการขับไล่ออกไปเท่านั้น ดังนั้นมันจึงสมกับชื่อที่ตั้งขึ้นมาว่า "สัตว์ประหลาดต่างดาว"
ผู้มาเยือนได้กล่าวทำนายเอาไว้ว่าหากความหวาดกลัวที่มีอยู่ในมนุษย์เริ่มแพร่กระจายออกไปบีสต์ก็จะยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างทวีคูณและจะนำพาโลกไปสู่ความหายนะในไม่ช้า ดังนั้นรัฐบาลอเมริกาจึงได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ และได้จัดตั้งหน่วยงาน TLT ( ทิลท์ ) ขึ้นมาเพื่อเป็นองค์กรทำลายล้างเผ่าพันธุ์บีสต์อย่างลับๆ โดยการขอความร่วมมือกับองค์กรสหประชาชาติในการจัดตั้งสาขาย่อยทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว ตามคำทำนายของผู้มาเยือนได้มีการระบุถึงจุดที่สำคัญที่สุดซึ่งถือเป็นเขตอันตรายอยู่ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นก็คือ ประเทศญี่ปุ่น
ในปี ค.ศ.2004 พลังงานบีสต์จำนวนมหาศาลจะพุ่งลงมาจากอวกาศและกลายร่างที่แท้จริงออกมาเพื่อจะนำพาซึ่งภัยพิบัติครั้งใหญ่หลวงมาสู่พื้นที่ทุกหัวระแหงทั่วประเทศญี่ปุ่น และความทรงจำที่น่าหวาดกลัวนั้นก็จะยิ่งกลับกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงขึ้นกว่าเก่า นั่นคือ การฟื้นคืนชีพของซากิ หากซากิคืนชีพขึ้นมาแล้วล่ะก็โลกก็จะมีชะตากรรมเช่นเดียวกับดาวของผู้มาเยือน หรือก็คือโลกจะต้องถึงแก่กาลปาวสานนั่นเอง
และแล้วในปี ค.ศ.2004 สเปซบีสต์เดอะวันก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นตามที่มีการทำนายไว้ และมันก็ถูกกำจัดลงด้วยพลังของมนุษย์ยักษ์สีเงินซึ่งปรากฏกายขึ้นหลังจากนั้น แต่ทว่าความทรงจำของผู้คนที่ยังคงหลงเหลืออยู่จะก่อให้เกิดการทำลายล้างครั้งใหม่ ดังนั้นเพื่อเป็นการระงับเหตุนั้นหน่วยงาน TLT จึงได้ใช้เทคโนโลยีอันเหนือชั้น ( Over Technology ) ของผู้มาเยือน นั่นคือการใช้ทะเลแห่งการหลงลืม เลอเต้
ประกายแสงจำนวนมากมายมหาศาลได้เข้าปกคลุมโลกไว้ในขณะเดียวกัน ความทรงจำของอุลตร้าแมนและเดอะวันได้ถูกลบเลือนหายไปจากผู้คน
หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านพ้นไป 5 ปี
ภายหลังจากคดีที่เมืองชินจูกุหน่วยงาน TLT จึงได้ทำการสนับสนุนผลักดันการวิจัยสเปซบีสต์ที่ปรากฏตัวออกมาเฉพาะบางพื้นที่ในประเทศญี่ปุ่นโดยใช้ Potential Barrier ของผู้มาเยือนในการจับขอบเขตการปรากฏตัวของบีสต์ และเพื่อเป็นการหลีกหนีจากหายนะที่จะมาถึงนี้ ทางหน่วยงานจึงต้องเร่งคิดค้นพัฒนาวัตถุต่อต้านที่จะสามารถทำให้สารปัจจัยในการกำเนิดบีสต์สูญสลายไปได้อย่างหมดสิ้น ซึ่งซาระเองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในทีมวิจัยนี้และได้พยายามคิดค้นวิจัยมาถึงปัจจุบันโดยเชื่อมั่นว่านั่นจะเป็นการชดใช้ให้กับคนรักของเธอที่พลีชีพไป
ท่ามกลางคืนวันที่เธอหมกมุ่นอยู่กับการวิจัยนั้น ภายในใจของเธอยังคงมีความเคลือบแคลงใจอยู่เพียงสิ่งหนึ่งซึ่งไม่สามารถลบเลือนได้ นั่นคือ แสงสว่างที่ออกจากร่างของ มาคิ ไปภายหลังจากที่ได้ทำการกำจัดเดอะวัน
นับจากคดีนั้นผ่านมา 5 ปี สมาชิกในหน่วยงาน TLT ส่วนใหญ่ต่างลงความเห็นว่าอุลตร้าแมนได้สูญสลายไปพร้อมกับเดอะวันแล้ว
แต่ทว่า แสงสว่างได้หายจากไปแล้วเช่นนั้นหรือ ? สำหรับซาระแล้วเธอมีเหตุผลที่ทำให้เธอไม่คิดเช่นนั้น นั่นคือเรื่องที่เธอรู้สึกเหมือนกับได้ยินเสียงของ อุโด้ ทาคาฟุมิ ในขณะที่เธอกำลังจ้องมองแสงของเดอะวันที่แหลกสลายปลิวหายไปในเมืองชินจูกุ
ซาระ ขอบคุณมาก
สำหรับซาระแล้วนั่นถือเป็นคำพูดขอบคุณที่แสนจะขมขื่น ทว่าในขณะนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงคำพูดอีกคำหนึ่ง
แสงสว่างนั้นคือสายสัมพันธ์ มันจะถูกถ่ายทอดไปสู่บุคคลใดบุคคลหนึ่งและกลับมาเปล่งประกายเจิดจรัสขึ้นอีกครั้ง
มาคิเองก็คงจะได้ยินคำพูดเดียวกันนี้ในตอนที่จะลาจากกับแสงของอุลตร้าแมน
"แสงสว่างคือสายสัมพันธ์.........." ในขณะที่ซาระกำลังพูดพึมพำกับตัวเองในห้องวิจัยอยู่นั้นก็ได้มีข้อมูลบางอย่างส่งมาถึงเธอ มีการตรวจพบคลื่นสั่นสะเทือนที่ต่างออกไปจากบีสต์อยู่ภายในเขตพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากประเทศญี่ปุ่น และชายหนุ่มที่มีชื่อว่า โคมง ซึ่งอยู่ในสถานที่เกิดเหตุนั้นได้เผชิญกับมนุษย์ยักษ์สีเงิน
"..........อุลตร้าแมน นั่นคือ อุลตร้าแมนยังไงล่ะ"
ซาระจึงได้รู้ว่าคำพูดสุดท้ายที่คนรักของเธอทิ้งไว้นั้นเป็นความจริง ดาวตกสีเงินซึ่งฝังอยู่ในความทรงจำของผู้คนเมื่อครั้งอดีต บัดนี้ได้หวนคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
Translated by : grandking
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น